บัตรโอปอล (Opal Card)
โดย...บุญสน เจนชัยมหกุล
โดย...บุญสน เจนชัยมหกุล
ประเทศออสเตรเลียเป็นหนึ่งในประเทศลำดับต้นๆ สำหรับโลกดิจิทัล ซึ่งรวมถึงสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) วันจันทร์ที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา รัฐ New South Wales 1 ใน 6 รัฐของประเทศออสเตรเลีย อันเป็นที่ตั้งของนครซิดนีย์ ได้ประกาศยกเลิกบัตรโดยสารที่เป็นกระดาษเดินทางเที่ยวเดียว รวมทั้งบัตรโดยสารหลากหลายประเภทที่เคยใช้งาน ประชาชนที่จะโดยสารขนส่งมวลชนในทุกช่องทางจะต้องใช้บัตรโอปอล (Opal) เท่านั้น นับเป็นความกล้าหาญในการยกเลิกให้มีเพียงระบบเดียวสำหรับการชำระเงินค่าโดยสารที่น่าจับตามอง โดยไม่มีการพะวงถึงคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งครั้งต่อไป
บัตรโอปอลนี้ได้มีการเริ่มทดลองใช้ในช่วงปลายปี 2012 และภายในระยะเวลา 2 ปี ทางรัฐก็สามารถทำการติดตั้งระบบการใช้บัตรนี้กับสถานีขนส่งมวลชนทั้งหมดของรัฐ ซึ่งมีขนาดใหญ่ถึง 8 แสนตารางกิโลเมตร หรือเทียบได้ว่าใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 1.5 เท่า และต่อมาอีกเพียง 20 เดือน ก็ประเมินว่ามีความพร้อมสมบูรณ์ที่จะทำการยกเลิกบัตรประเภทเดิมทั้งหมด
ชื่อบัตรโอปอลนี้ ทำการคัดเลือกจากชื่อที่มีนำเสนอเข้าประกวดทั้งหมด 665 ชื่อ โดยเหตุผลที่เลือกใช้ชื่อนี้คือความเป็นออสเตรเลียสูง เพราะโอปอลคือพลอยที่มีอยู่จำนวนมากในประเทศออสเตรเลียหรือจะเรียกว่าเป็นพลอยประจำชาติก็ได้ และอีกเหตุผลหนึ่งคือเป็นคำที่ออกเสียงชัดเจนได้ง่าย นอกจากนั้นพลอยโอปอลมีหลายสีและได้นำเอาสีที่โดดเด่นมาเป็นสีของบัตรประเภทต่างๆ ซึ่งมีทั้งหมด 4 แบบ สำหรับกลุ่มผู้โดยสารประเภทต่างๆ
ระบบขนส่งมวลชนของรัฐ New South Wales นับว่าหลากหลายที่สุดในโลก ประกอบด้วยรถไฟฟ้าในเขตเมือง รถไฟระหว่างเมือง เรือโดยสาร รถโดยสารประจำทาง และรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Light Rail) การกำหนดอัตราค่าโดยสารถือเอาระยะทางสุทธิ แม้ว่าจะมีการเชื่อมต่อไปพาหนะอื่นเพื่อไปยังจุดหมาย มีการกำหนดค่าโดยสารสูงสุดต่อวันและต่อสัปดาห์ โดยผู้โดยสารทั่วไป (ผู้ใหญ่) จะชำระค่าโดยสารสูงสุดต่อวัน 15 เหรียญออสเตรเลีย ไม่ว่าจะเดินทางกี่เที่ยว หรือเดินทางไกลเพียงใด และมีอัตราสูงสุดต่อสัปดาห์ 60 เหรียญ (นับจากวันจันทร์ถึงวันอาทิตย์เป็นหนึ่งสัปดาห์) รวมทั้งมีอัตราส่วนลดสำหรับช่วงนอกเวลาเร่งด่วน (Off-Peak) 30% ส่วนบัตรสำหรับผู้เยาว์ (อายุต่ำกว่า 16 ปี) ตารางค่าโดยสารทุกระยะทางจะเป็นอัตรากึ่งหนึ่งของ
ผู้โดยสารทั่วไป ทั้งนี้ บัตรผู้สูงอายุ ชำระค่าโดยสารสูงสุดต่อวันเพียง 2.50 เหรียญ สำหรับวันอาทิตย์ซึ่งถือว่าเป็นวันครอบครัวจะมีการกำหนดอัตราสูงสุดต่อวันอยู่ที่เพียง 2.50 เหรียญ อัตราที่สร้างความเท่าเทียมนี้ ทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตรอบนอกเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองโดยมีผลกระทบจากปัจจัยด้านเวลาเพียงอย่างเดียว (ไม่มีผลกระทบของค่าใช้จ่ายของการเดินทาง)
อัตราขั้นต่ำของการเติมเงินคือ 10 เหรียญ โดยผู้ถือบัตรสามารถทำการลงทะเบียนเพื่อป้องกันในกรณีที่บัตรหาย โดยสามารถแสดงตนเพื่อขอบัตรใหม่ได้ รวมทั้งการลงทะเบียนจะทำให้สามารถสืบค้นรายการใช้งาน (Statement) ย้อนหลังได้
ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อให้บัตรนี้เป็นที่ยอมรับค่าใช้จ่ายของรัฐในการส่งเสริมการใช้บัตรนี้ โดยให้มีเที่ยวโดยสารฟรีตามเงื่อนไขที่กำหนดมีมูลค่ารวมสูงถึง 189 ล้านเหรียญ ซึ่งทำให้รัฐสูญเสียรายได้เป็นมูลค่าไม่น้อย แต่ก็มีความคุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบกับการลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
กรณีศึกษานี้ เมื่อมองย้อนกลับจะเห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการในช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เริ่มทดลองใช้งานจนถึงความสมบูรณ์ของระบบในวันนี้ การใช้ช่องทางเพื่อรับฟังปัญหาเพื่อนำไปแก้ไขแทนการออกสื่อแก้ข่าว และที่ไม่เคยเห็นมาก่อนคงจะเป็นรัฐมนตรีคมนาคมของรัฐ New South Wales ที่ออกมาส่งเสริมให้ประชาชนช่วยกันค้นหาจุดบกพร่องของระบบ สร้างให้เกิดการมีส่วนร่วมและมีข้อมูลในการประเมินความเสี่ยงที่ครบถ้วน แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบางแห่ง ซึ่งเปิดช่องชำระเงินสดแทนช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ในระหว่างชั่วโมงเร่งด่วน จนทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าอาชีพพนักงานเก็บค่าโดยสารเป็นอาชีพที่จะต้องสงวนไว้ตลอดไป


