posttoday

ของเล่น มหาเศรษฐี ยิ่งมี ยิ่งรวย!!!

26 มีนาคม 2559

หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้วพาไปสำรวจทำเลน่าลงทุนในสายตาของมหาเศรษฐีกันมาแล้ว

โดย...สวลี ตันกุลรัตน์ [email protected]

หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้วพาไปสำรวจทำเลน่าลงทุนในสายตาของมหาเศรษฐีกันมาแล้ว สัปดาห์นี้ก็ยังคงเกาะติดอยู่ที่ The Wealth Report 2016 โดย ไนท์แฟรงค์ กันเหมือนเดิม แต่คราวนี้จะพาไปรู้จักกับ “ของเล่น” ของมหาเศรษฐีทั่วโลกว่า พวกเขานิยมเล่นอะไรกัน

และแน่นอนว่า ของเล่นของมหาเศรษฐีเหล่านี้ไม่ธรรมดา แถมของเล่นหลายอย่างกลับยิ่งทำให้รวยมากขึ้นไปอีก

แบ่งใจให้ของสะสม

ถ้ายังจำกันได้ ในบรรดาสินทรัพย์ที่ “เศรษฐีพันล้าน” หรือมหาเศรษฐีที่มีสินทรัพย์ หรือความมั่งคั่งมากกว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ (Ultra High Net Worth Individual : UHNWIs) ทั่วโลกแบ่งเงินไปลงทุนนั้น จะมี “ของเล่น” หรือของสะสมรวมอยู่ด้วย

แม้ว่าอาจจะเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เพราะแยกมหาเศรษฐีออกเป็นรายภูมิภาค พวกเขามีทรัพย์สินที่เป็นของสะสมอยู่ตั้งแต่ 1% ของสินทรัพย์รวม ไปจนถึง 4% ของสินทรัพย์รวม หรือเฉลี่ยทั่วโลกก็ประมาณ 2% ของสินทรัพย์รวม

แต่ถ้าคิดเป็นมูลค่าที่มหาเศรษฐีแต่ละคนถือครอง “ของเล่น” หรือของสะสมกันอยู่ก็แค่ 10-40 ล้านบาทเท่านั้นเอง

ในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา มหาเศรษฐี 26% ได้เพิ่มการลงทุนในของสะสม ขณะที่ 58% บอกว่าพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงสัดส่วนการลงทุนในของสะสมเลย และอีก 16% บอกว่าพวกเขาลดสัดส่วนของสะสมลง

นอกจากนี้ เมื่อไนท์แฟรงค์ ร่วมกับ เวลท์-เอ็กซ์ ไปถามคนที่ดูแลทรัพย์สินให้กับมหาเศรษฐีทั่วโลกว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า “ลูกค้ามหาเศรษฐี” ของพวกเขาจะลงทุนอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง ซึ่งแม้ว่า “ของสะสม” จะไม่ใช่คำตอบที่มีคนตอบมากที่สุด แต่มีถึง 36% ที่บอกว่าในอีก 10 ปีข้างหน้ามหาเศรษฐีจะยังลงทุนในของสะสมเพิ่มขึ้นอีก

และเมื่อล้วงลึกลงไปดูลูกค้ามหาเศรษฐีในแต่ละภูมิภาคจะเห็นว่า มหาเศรษฐีชาวยุโรป มีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มการลงทุนในของสะสมมากถึง 43% รองลงมาเป็นอเมริกาเหนือ 42% แอฟริกา 41% และรัสเซียบวกกับเครือรัฐเอกราช 40%

ขณะที่มหาเศรษฐีชาวเอเชียและออสตราเลเซีย (ได้แก่  ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และหมู่เกาะใกล้เคียงในมหาสมุทรแปซิฟิก) ที่อาจจะให้ความสำคัญกับ “ของเล่น” ไม่มากเท่า แต่ก็ตั้งใจจะลงทุนเพิ่ม 28% และ 21% ตามลำดับ

อะไรที่ทำให้มหาเศรษฐีเหล่านี้แบ่งใจ แบ่งทรัพย์สินมาลงทุนในของสะสม ซึ่งไนท์แฟรงค์และเวลท์-เอ็กซ์ ก็ได้คำตอบว่า เหตุผลในการสะสมส่วนใหญ่ คือ ของสะสม หรือของเล่น ที่พวกเขามีอยู่มันสามารถเป็น “สัญลักษณ์แสดงสถานะ” ของพวกเขาได้เป็นอย่างดี และรองลงมาจะเป็นคนที่บอกว่า สะสมเพราะความชอบส่วนตัว

ในขณะที่ยังมีมหาเศรษฐีอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งมองของสะสมในมุมของการลงทุนอย่างแท้จริง เพราะให้เหตุผลในการซื้อของสะสมว่า

1.เพื่อกระจายการลงทุน ซึ่งมหาเศรษฐีทั่วโลกให้เหตุผลนี้เฉลี่ย 42% ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามหลักการลงทุน ที่เรา “ไม่ควรใส่ไข่ไว้ในตะกร้าเดียวกัน” โดยที่มหาเศรษฐีชาวแอฟริกาให้น้ำหนักกับเหตุ
ผลนี้มาถึง 59% รองลงมาเป็นอเมริกาเหนือ 58% และตะวันออกกลาง 56%

2.เพราะเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ โดยมีมหาเศรษฐีให้เหตุผลนี้เฉลี่ย 22% ซึ่งในจำนวนนี้น่าจะมีส่วนหนึ่งที่คิดว่า การลงทุนในสิ่งของที่จับต้องได้น่าจะเป็นการถ่วงน้ำหนักกับการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินที่ไม่สามารถจับต้องได้ และหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับสินทรัพย์ทางการเงิน สินทรัพย์ที่จับต้องได้เหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นเงินสดแทนได้ (ซึ่งถือเป็นการกระจายการลงทุนเช่นกัน)

3.ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนประเภทอื่น แม้ว่ามหาเศรษฐีทั่วโลกจะให้น้ำหนักกับเหตุผลเรื่อง “ผลตอบแทน” จากของสะสมเพียง 15% แต่สำหรับมหาเศรษฐีชาวยุโรปจะให้ความสำคัญกับผลตอบแทนมากถึง 29% ซึ่งหากนำไปเชื่อมโยงกับคำตอบของมหาเศรษฐีชาวยุโรป 43% ที่ตั้งใจจะเพิ่มการลงทุนในของสะสม ก็น่าจะพอเดาได้ว่า พวกเขาน่าจะพอใจผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนของสะสม

ของเล่น มหาเศรษฐี ยิ่งมี ยิ่งรวย!!!

 

และดูเหมือนว่าของสะสมจะให้ผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องจริงๆ เพราะถ้าดูจากผลดำเนินงาน Knight Frank Luxury Investment Index (KFLII) แบ่งตามประเภทสินทรัพย์ จะเห็นว่าโดยรวมแล้วใน 10 ปีที่ผ่านมาของสะสมที่เป็นของหรูหราราคาสูงสามารถให้ผลตอบแทนได้ถึง 200% โดยที่รถยนต์คลาสสิกให้ผลตอบแทนนำโด่งไปถึง 490% ขณะที่งานศิลปะ เหรียญกษาปณ์ และไวน์ ให้ผลตอบแทน 226%, 232% และ 241% ตามลำดับ

ของสะสมโดนใจ

ใน The Wealth Report 2016 แบ่งของสะสมเพื่อการลงทุนที่โดนใจมหาเศรษฐีทั่วโลกออกเป็น 7 กลุ่ม ได้แก่ 

1.งานศิลปะและของโบราณ

2.รถยนต์และจักรยานยนต์คลาสสิก

3.นาฬิกาหรู

4.ไวน์ชั้นดี

5.เครื่องประดับและอัญมณี

6.โลหะมีค่า

7.แสตมป์และเหรียญกษาปณ์

ของสะสมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ งานศิลปะและของโบราณ โดยผู้ตอบแบบสอบถามมากถึง 74% ที่บอกว่าลูกค้ามหาเศรษฐีของพวกเขาสะสมอยู่ พร้อมกับคาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า งานศิลปะและของโบราณก็จะยังได้รับความนิยมจากมหาเศรษฐีเหล่านี้เช่นเดิม แม้ว่าจะลดลงเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่อันดับหนึ่ง

รถยนต์และจักรยานยนต์ ได้รับความนิยมมาเป็นอันดับสอง โดยมีลูกค้ามหาเศรษฐี 46% สะสมอยู่ แต่ในอีก 10 ปีข้างหน้า ความนิยมสะสมรถยนต์และจักรยานยนต์จะลดลง ตกไปอยู่อันดับสาม เหลือเพียง 29%

นาฬิกาก็เช่นเดียวกัน ที่แม้จะได้รับความนิยมอยู่ที่อันดับสามในปัจจุบัน แต่อีก 10 ปีข้างหน้า อันดับความนิยมจะหล่นฮวบไปอยู่ที่อันดับห้า หรือ 24% 

แต่ของสะสมที่จะมาแรงในอีก 10 ปีข้างหน้า คือ ไวน์ เพราะขยับจากอันดับสี่ 33% ในปัจจุบัน ไปเป็นอันดับสอง หรือ 32% ซึ่งการสะสม หรือลงทุนไวน์ชั้นดีนั้นสามารถให้กำไรงามกับนักลงทุนได้ แต่มหาเศรษฐีที่จะชื่นชอบการสะสมไวน์มากที่สุดกลับไม่ใช่มหาเศรษฐีในทวีปยุโรปที่เป็นแหล่งผลิตไวน์ชั้นเลิศ แต่เป็นมหาเศรษฐีชาวแอฟริกาและละตินอเมริกา

ในขณะที่อัญมณีและเครื่องประดับ มีความนิยมอยู่พอสมควรไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยไม่ได้โดดเด่นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต และน่าแปลกใจว่า มหาเศรษฐีในแอฟริกา จะลดความนิยมในการสะสมที่อัญมณีและเครื่องประดับลงอย่างมากจาก 24% เหลือ 6% 

ไม่ว่าจะในตอนนี้หรืออีก 10 ปีข้างหน้า การสะสมโลหะมีค่า แสตมป์ และเหรียญ ก็ดูจะได้รับความนิยมน้อย โดยเฉพาะแสตมป์และเหรียญ ที่มีมหาเศรษฐีสะสมอยู่เพียง 4-5% เท่านั้น และในบางภูมิภาคไม่เลือกที่จะสะสมของสะสมในกลุ่มนี้เลย อาจจะเป็นเพราะมูลค่าของมันไม่มากนัก ทำให้ถูกมองข้ามไป

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะนิยมสะสมอะไรมากขึ้น หรือน้อยลง ของสะสมก็จะยังเป็นสินทรัพย์อีกประเภทหนึ่งที่มหาเศรษฐีทั่วโลกจะมีติดพอร์ตไว้เสมอ

ไม่รวย (จริง) ซื้อไม่ได้

อยากให้ลองหลับตาคิดว่า ถ้าวันนี้เราเป็น “เศรษฐีพันล้าน” เราจะซื้อของหรูหราราคาแพง ที่อาจจะถูกมองว่า เป็นของฟุ่มเฟือย และถ้าไม่รวยจริง ไม่สามารถซื้อได้ “ของเล่น” ชิ้นนั้นของเราจะเป็นอะไร เรือยอชต์ เครื่องบินเจ็ตส่วนตัว รถหรู เครื่องเพชร งานศิลปะของศิลปินระดับโลก นาฬิกาชั้นเยี่ยม

มหาเศรษฐีในแต่ละภูมิภาคจะคิดถึงของเล่นในแบบที่แตกต่างกัน ซึ่งเวลท์-เอ็กซ์ ทำดัชนีขึ้นมาอันหนึ่งเรียกว่า Luxury Spending Index โดยสำรวจจากเศรษฐีพันล้านทั่วโลกว่า พวกเขาชอบซื้อของหรูหราราคาแพงประเภทไหนกันบ้าง โดยดูจากความเป็นเจ้าของสินทรัพย์เหล่านี้ ได้แก่ เรือยอชต์ เครื่องบินเจ็ตส่วนตัว ของสะสม (เช่น เครื่องเพชร งานศิลปะ นาฬิกา ไวน์ ของโบราณ) และรถหรูมูลค่าเกิน 1 แสนเหรียญสหรัฐ หรือ 3.5 ล้านบาท

เวลท์-เอ็กซ์ พบว่ามหาเศรษฐีในแถบแปซิฟิกและมหาเศรษฐีชาวยุโรปชอบซื้อเรือยอชต์มากที่สุด เกินหน้ามหาเศรษฐีภูมิภาคอื่นไป 2-3 เท่าตัว โดยดัชนีนำโด่งไปถึง 342 สำหรับมหาเศรษฐีในแถบแปซิฟิก และ 216 สำหรับมหาเศรษฐีชาวยุโรป

“ในกลุ่มเรือยอชต์ขนาดใหญ่ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2558 มียอดขายเพิ่มขึ้น 40% จากปี 2557” เวลท์-เอ็กซ์ ระบุ พร้อมกับบอกอีกว่า จุดหมายปลายทางของประชาชนชาวมหาเศรษฐีเหล่านี้ยังไม่ได้อยู่แค่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและแคริบเบียนอีกแล้ว แต่ออกมาไกลถึงแอนตาร์กติกและเอเชีย

การเป็นเจ้าของเรือยอชต์ นอกจากจะเป็นเครื่องแสดงฐานะที่ชัดเจนมากแล้ว ยังสามารถสร้างรายได้อีกด้วย โดยตัวแทนขายเรือยอชต์ในต่างประเทศโฆษณาว่า การเป็นเจ้าของเรือยอชต์ 5 ปี สามารถสร้างรายได้ได้ถึง 9% ต่อปี

เมื่อไม่นานมานี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในประเทศไทยมีเรือยอชต์ประมาณ 2,000 ลำ ส่วนใหญ่จะเป็นเรือยอชต์ส่วนตัว 

“การล่องเรือยอชต์เป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมของตลาดไฮเอนด์ ดังนั้น จึงมีการใช้จ่ายสูงกว่ากิจกรรมการท่องเที่ยวอื่น โดยกว่า 80% ของค่าใช้จ่ายต่อทริป คือ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนที่เหลือเป็นค่าจ้างกัปตันเรือและลูกเรือ ค่าอาหารและเครื่องดื่ม ค่าใช้จ่ายเกี่ยวเนื่องกับกีฬาทางน้ำ เช่นดำน้ำ ตกปลา ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการนำเรือออกไปแล่นในทะเล”

นอกจากนี้ เจ้าของเรือยอชต์จะมีการใช้จ่ายรายปีและรายเดือน โดยค่าใช้จ่ายรายปี เช่น ค่าสมาชิกมารีน่าราย 1 ปี 3 ปี 5 ปี สำหรับการดูแลความปลอดภัย ความสะอาด และการให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวก รวมทั้งมีค่าประกันเรือที่ค่าเบี้ยประกันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขความคุ้มครองและวงเงินเอาประกัน

ส่วนค่าใช้จ่ายรายเดือน เช่น ค่าน้ำและค่าไฟตามขนาดเรือและจำนวนหน่วยการใช้งาน ซึ่งราคาต่อหน่วยขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างมารีน่าและเจ้าของเรือ ค่าบริการทำความสะอาด บริการซ่อมบำรุง 

แต่เจ้าของเรือยอชต์อาจจะมีรายได้จากการให้เช่าเรือ โดยจะดำเนินการผ่านบริษัทนายหน้า โดยราคาเช่าเรือยอชต์แต่ละลำขึ้นอยู่กับความยาวของเรือ ระยะเวลา และฤดูกาลท่องเที่ยว เช่น ราคาเช่าเรือยอชต์ขนาด 85 ฟุต จำนวน 1 วันในช่วงไฮซีซั่น ค่าเช่าอยู่ที่ 2.2 แสนบาท/วัน รวมกัปตันและลูกเรือ

แต่ถ้าเป็นมหาเศรษฐีชาวแอฟริกันจะนิยมซื้อเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวมากที่สุด ดัชนีสูงถึง 200 สวนทางกับมหาเศรษฐีชาวเอเชียไม่นิยมมากนัก มีเพียงแค่ 28 เท่านั้น ในขณะที่มหาเศรษฐีชาวยุโรป ชอบซื้อของสะสมมากที่สุด แต่ถ้าเป็นรถยนต์หรูแล้วละก็ ดัชนีพุ่งพรวดในแทบทุกภูมิภาค

เห็นมหาเศรษฐีมี “ของเล่น” แบบนี้แล้ว เราก็ต้องไม่น้อยหน้า หาของสะสมมาใส่ไว้ในพอร์ตบ้าง อย่างน้อยก็เพื่อกระจายการลงทุนออกไปบ้าง โดยเริ่มสะสมตามความชอบ สะสมตามกำลัง ไม่แน่ว่า ของสะสมมูลค่าน้อยๆ ในมือเราวันนี้อาจจะเพิ่มค่าได้เป็นสิบเท่าตัวในอีก 10 ปีข้างหน้าก็ได้

...ใครจะไปรู้!!!

ข่าวล่าสุด

เปิดภาพคุมตัว "น.ส.ลัก" สอบเข้ม ปมบังคับลูกสาววัย 12 ค้ากามญี่ปุ่น