เอกชนมั่นใจ "4จี" ช่วยเพิ่มโอกาสการค้า-การลงทุนมหาศาล
ภาคเอกชนเชื่อมั่นหากไทยมี 4 จี จะช่วยเพิ่มโอาสการค้า-การลงทุนอีกมาก เพราะเป็นตลาดที่มีความพร้อมทุกด้าน
ภาคเอกชนเชื่อมั่นหากไทยมี 4 จี จะช่วยเพิ่มโอาสการค้า-การลงทุนอีกมาก เพราะเป็นตลาดที่มีความพร้อมทุกด้าน
จากงานสัมมนา 4จี จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภาคเอกชนระบุชัดไม่มี 4จีไม่ได้แล้ว เพราะไทยจะสูญเสียรายได้และโอกาสทำเงินอย่างมหาศาล
สรรเสริญ สมัยสุต หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการพาณิชย์ บริษัท Ascend Group ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอ้ก ดิจิทัล กล่าวว่า การเปิดร้านค้าออนไลน์ จะสร้างความได้เปรียบทาง physical เพราะไม่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ตั้งร้าน ทำให้โอกาสในการสร้างรายได้จึงใหญ่มาก เราจึงเห็นได้ชัดว่าผู้ประกอบการแบบเก่า ถ้าอยากมีรายได้ก็ต้องขยายสาขา สวนทางกับเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่อยากเป็นลูกจ้าง
“คนรุ่นใหม่เริ่มต้นในการทำธุรกิจของเขา คือ ขายของในเน็ต ใช้มือถือในกล้องถ่ายรูปให้เป็นประโยชน์ และไม่ต้องการสต็อกสินค้า ถือว่าเป็นการใช้งานเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ โลกของเราเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ไม่มีธุรกิจใดยั่งยืนด้วยวิธีเดิม ทั้งคู่แข่งรายใหม่และคู่แข่งรายเก่าที่ใช้วิธีใหม่ ก็แล้วแต่บริษัทว่าจะประยุกต์ใช้อย่างไร จึงควรเตรียมพร้อมให้ดี”สรรเสริญ กล่าว
ทางด้านของ วรวุฒิ อุ่นใจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีโอแอล กล่าวว่า การมี 3จีและ 4จี การใช้งานจะแตกต่างกันเยอะมาก เพราะ 4จี เน้นตอบโจทย์การใช้งานผ่านมือถือเป็นหลัก ซึ่งลูกค้าเกือบ 50% ของเครือเซ็นทรัล ใช้จ่ายผ่านเทรนด์โมบายอย่างสมาร์ทโฟนและแท็บเลต และมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“การเกิดเครือข่าย 4จี จะช่วยให้เกิดการซื้อขายแบบอีคอมเมิร์ซที่รวดเร็วขึ้น ถือว่าเป็นการเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอีแข่งขันกับประเทศอื่นได้ ยกตัวอย่างเช่น อาลีบาบาของประเทศจีน ที่ช่วยให้ประชาชนในท้องถิ่นขายของได้มากขึ้น แม้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งการเกิดของเครือข่ายที่ดี ถือว่าเป็นโอกาสให้ลูกค้าที่มีอยู่มาก ไม่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ห่างไกลนั้นๆ อีกทั้งการมีเครือข่ายโลจิสติกส์ที่ดี จะช่วยสนับสนุนให้เกิดการสร้างอาชีพและรายได้ใหม่ๆ มีโอกาสธุรกิจเติบโตแบบทวีคูณ” วรวุฒิ กล่าว
อาจ วิเชียรเจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า แอพพลิเคชั่นของธนาคารไม่ได้ใช้แบนด์วิธเยอะมาก จึงไม่ค่อยมีผลเรื่องของ 4จีมากนัก แต่พฤติกรรมของคนไทยใช้งานโมบายแบงกิ้งโตไวมาก ซึ่งธนาคารกสิกรไทยทำมา 8 ปี แต่ปีที่ผ่านมาโตขึ้นแบบ 100% จากเดิมมีผู้ใช้งานประมาณ 5 แสนราย/เดือน จากจำนวนผู้ใช้งานทั้งหมด 1 ล้านราย ปัจจุบันมียอดแอคทีฟยูสเซอร์พุ่งไปถึง 1 ล้าน จากลูกค้าทั้งหมด 2 ล้านราย นั่นแสดงให้เห็นว่าคนไทยคุ้นเคยต่อการใช้งานโมบายแบงกิ้งมากขึ้น
"การจับจ่ายใช้สอยในร้านค้าขนาดเล็กและใหญ่ จากเดิมที่ใช้เงินสดกัน อาจจะปรับเปลี่ยนมาเป็นการโอนเงินมากขึ้น ด้วยปัจจัยความสะดวกรวดเร็ว ความปลอดภัย ในอนาคตอาจมีการทำบัตรอีดีซีมากขึ้น เพื่อลดการใช้เงินสด หรืออาจจะปรับเปลี่ยนเป็นการใช้ non-card เพื่อตอบโจทย์การใช้จ่ายผ่านโมบายมากขึ้น ซึ่งการลดต้นทุนเป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจต้องการ” อาจ กล่าว
อริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลน์ ไทยแลนด์ กล่าวว่า การใช้งานออนไลน์ไม่ใช้แค่ไลน์ แต่เป็นภาพรวมมากกว่า คนใช้อินเทอร์เน็ต 35 ล้าน ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโมบาย 50 กว่าล้านคน แสดงให้เห็นว่ามีคนเข้าใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือมากกว่าพีซี ซึ่งไทยถือว่าเป็นประเทศที่เรียกว่า โมบายเฟิร์สคันทรี
“หากเปรียบเทียบกับอินโดนีเซียและเมียนมาร์ ซึ่งอินโดนีเซียมี 3จีที่เร็วกว่า 2จี แต่การใช้งานดาต้าของเขาใช้งานได้ช้ามาก ทำให้นักลงทุนเข้าถึงลูกค้าได้ไม่เต็มที่ หรืออย่างเมียนมาร์ที่มีโครงสร้างพื้นฐาน 4จีแล้ว แต่การใช้จ่ายของคนในประเทศไม่มีประสิทธิภาพเท่าไทย หากไทยมีความพร้อมทั้งความเร็วและคุณภาพในการใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจด้านใด ก็มองว่าเป็นโอกาสในการเข้ามาลงทุนทั้งสิ้น” อริยะ กล่าว
อย่างไรก็ตาม นักธุรกิจทุกคนต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ประเทศไทยจะช้าไม่ได้แล้ว เพราะถือว่าเป็นตลาดที่มีความพร้อมทุกด้าน และถ้าไม่เร่งขยายโอกาสในการลงทุนของชาวไทยและต่างชาติให้รวดเร็ว ไทยจะเสียโอกาสสร้างรายได้ใหม่ๆเข้าประเทศอย่างมาก


