ดึง’นาโนไฟแนนซ์’เข้าร่วมเครดิตบูโร

ต้อนนาโนไฟแนนซ์เข้าเครดิตบูโร ป้องกันลูกค้าเวียนเทียนกู้เงิน

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีนาโนไฟแนนซ์หลายแห่งได้ติดต่อเพื่อสมัครเข้าเป็นสมาชิกเครดิตบูโร ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ต้องการให้นาโนไฟแนนซ์และสหกรณ์ออมทรัพย์เข้าเป็นสมาชิกเครดิตบูโร เพื่อให้สามารถตรวจสอบประวัติการขอสินเชื่อและการชำระหนี้ของลูกค้า ซึ่งจะเป็นประโยชน์การป้องกันความเสี่ยงการปล่อยสินเชื่อให้กับนาโนไฟแนนซ์เอง

ทั้งนี้ แม้ว่าไม่ได้มีกฎหมายบังคับให้นาโนไฟแนนซ์จะต้องเป็นสมาชิกเครดิตบูโร แต่การเป็นสมาชิกเครดิตบูโรทำให้ผู้ให้กู้สามารถที่จะตรวจสอบประวัติการขอสินเชื่อของลูกหนี้ได้ ซึ่งหากนาโนไฟแนนซ์ไม่เข้าเป็นสมาชิกเครดิตบูโร ก็จะไม่ทราบว่าลูกหนี้มีการเวียนเทียนกู้เงินกับนาโนไฟแนนซ์รายอื่นๆ หรือไม่

นายสุรพล กล่าวว่า นาโนไฟแนนซ์ที่จะยื่นสมัครเครดิตบูโรจะต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท รวมทั้งต้องมีการวางระบบเพื่อที่จะส่งข้อมูลประวัติขอชำระเงินของลูกค้าด้วย ซึ่งขณะนี้นาโนไฟแนนซ์ที่บริษัทลูกของสถาบันการเงินและมีบริษัทแม่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเห็นความสำคัญเข้าเป็นสมาชิกเครดิตบูโร ซึ่งก็อยู่ระหว่างประสานกันอยู่ เพื่อวางระบบงานรับส่งข้อมูล แต่ก็มีนาโนไฟแนนซ์บางรายที่ไม่สนใจเข้าเครดิตบูโรก็มีก็ไม่สามารถบังคับได้ ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ

สำหรับความคืบหน้าการดึงสหกรณ์ออมทรัพย์เข้าเป็นสมาชิก ก่อนหน้านี้ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) ร่วมกับสหกรณ์ออมทรัพย์ 5 แห่ง คือ สหกรณ์ออมทรัพย์สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม สหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิยาลัยเกษตรศาสตร์ สหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น และสหกรณ์กรมป่าไม้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลองระบบ และคาดว่าจะดำเนินการเสร็จภายในไตรมาส 4 ของปีนี้

นอกจากนี้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะส่งข้อมูลลูกค้ารายใหญ่ กลุ่มลูกค้าประเภทนิติบุคคลเข้าสู่ระบบเครดิตภายในปีนี้ และในกลางปีนี้จะนำข้อมูลสินเชื่อลูกค้ารายกลางและเล็กเข้าสู่ระบบได้ประมาณกลางปี 2559

นายสุรพล กล่าวว่า ระบบของเครดิตบูโรสามารถรองรับสมาชิกได้ 300 ล้านบัญชี หรือ 3 เท่าตัว จากปัจจุบันมีฐานข้อมูลจำนวน 75 ล้านบัญชี ขณะนี้ได้ร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดทำบทวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติด้านสินเชื่อของประเทศเพื่อนำไปกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจ