หุ้นปั่นกับพนันบอล
พนันได้เลยว่า ทั้งคนที่ “เล่นหุ้นปั่น” กับ “พนันบอล” ต่างรู้ว่าหายนะรออยู่ข้างหน้า รู้ว่าปลายทางของ “แมลงเม่า” จำนวนมากอยู่บนดอย และบทสรุปของนักพนันส่วนใหญ่ คือ หนี้ก้อนโต
พนันได้เลยว่า ทั้งคนที่ “เล่นหุ้นปั่น” กับ “พนันบอล” ต่างรู้ว่าหายนะรออยู่ข้างหน้า รู้ว่าปลายทางของ “แมลงเม่า” จำนวนมากอยู่บนดอย และบทสรุปของนักพนันส่วนใหญ่ คือ หนี้ก้อนโต
โดย...สวลี ตันกุลรัตน์
หลังจากลอง “พนันบอลในใจ” มาสัปดาห์หนึ่งเต็มๆ ปรากฏว่า “ขาดทุนย่อยยับ” เพราะทายผิดเป็นส่วนใหญ่ เลยคิดได้ว่า ถ้าจับเอา “หุ้นปั่น” มาเข้าคู่กับ “พนันบอล” น่าจะเข้าทำนอง “หญิงร้ายชายเลว” เพราะนำหายนะทางการเงินมาสู่คนที่เข้าไปเกี่ยวข้องได้ไม่ยากเลย นอกจากนี้ หญิงร้ายชายเลวคู่นี้ยังมีอะไรคล้ายๆ กันอีกหลายอย่าง
ยิ่งอันตรายยิ่งเย้ายวน
สำหรับหุ้นปั่นไม่มีใครบอกได้ว่า มีนักลงทุนสักกี่คนในตลาดหลักทรัพย์ที่ติดอยู่ในวังวนของหุ้นปั่น ไม่รู้ว่าในแต่ละวันมีการซื้อขายที่เข้าข่ายหุ้นปั่นอยู่สักกี่เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์ แต่คำว่า “หุ้นปั่นไม่มีวันตาย” น่าจะพอบอกถึงความนิยมของหุ้นปั่นได้เป็นอย่างดี
และไม่ว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะพยายามทุกวิถีทางที่จะสกัดกั้นทั้งเจ้ามือปั่นหุ้นและนักลงทุนหุ้นปั่น แต่ดูเหมือนจะจับได้ไล่ทันได้ยากเหลือเกิน
เช่นเดียวกับการพนันฟุตบอล ซึ่งไม่ใช่เฉพาะฟุตบอลโลกในรอบนี้เท่านั้น เพราะคนไทยจำนวนไม่น้อยที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการพนันฟุตบอลกันเป็นประจำอยู่แล้ว และไม่ว่าจะมีทั้งรณรงค์ไม่ให้เล่นการพนัน ทั้งจ้องจับปราบปราม แต่อย่าเสียงดังไป เพราะเจ้ามือพนันบอลพวกนี้ไม่เคยหมดไปจากประเทศไทย
จนกระทั่งมีการประเมินกันว่าในวงการพนันฟุตบอลในบ้านเราน่าจะมีเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1 แสนล้านบาท ขณะที่ฟุตบอลโลก 2010 มีการประเมินกันว่า จะมีเงินสะพัดในการเล่นพนันฟุตบอลประมาณ 9,000 ล้านบาท ไปจนถึง 3.72 หมื่นล้านบาท
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า คนกรุงเทพฯ จะใช้เงินเพื่อเล่นพนันฟุตบอลโลก 2010 ประมาณ 9,000 ล้านบาท โดยแต่ละคนจะใช้เงินในการเล่นพนันคราวนี้เฉลี่ยคนละ 8,000 บาท
นอกจากนี้ ถ้าเป็นคนที่เล่นพนันบอลเป็นประจำอยู่แล้วจะใช้เงินเล่นพนันเฉลี่ยคนละประมาณ 5,000 บาทต่อเดือน โดยกลุ่มนักเรียน นักศึกษา จะใช้เงินเดือนละ 2,000 บาท แต่ถ้าเป็นคนทำงานกินเงินเดือนจะใช้เงินเล่นพนันกันถึงเดือนละ 1 หมื่นบาท
ขณะที่ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินเงินสะพัดในวงการพนันฟุตบอลโลกครั้งนี้ไว้สูงถึง 3.72 หมื่นล้านบาท และจำนวนเงินที่จะเล่นพนันอยู่ที่นัดละ 1,090 บาท และคาดว่าจะได้รับเงินนัดละ 4,352 บาท และรวมเงินที่จะเล่นตลอดการแข่งขันฟุตบอลโลกเท่ากับ 6,070 บาท
แต่ถ้าถาม สังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานโครงการปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาธรรมาภิบาล มหา วิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ตัวเลขการเล่นพนันฟุตบอลสูงถึง 1.5 แสนล้านบาท และใช้เงินในการเล่นพนันตั้งแต่ 1,000-6,000 บาทต่อครั้ง
จำนวนเงินสะพัดในการเล่นพนันฟุตบอลโลกครั้งนี้ ยังไม่น่าตกใจเท่ากับจำนวนคนที่ตั้งอกตั้งใจจะเล่นพนัน เพราะศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า จะมีประชาชนชาวกรุงสูงถึง 1.12 ล้านคน ที่ตั้งตารอเล่นพนัน ขณะที่ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจพบว่า เยาวชน 1 ใน 4 เตรียมพร้อมที่จะเล่นพนันฟุตบอลคราวนี้ โดยคาดว่าจะใช้เงินในการเล่นพนันครั้งละ 100-1,000 บาท
รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก
พนันได้เลยว่า ทั้งคนที่ “เล่นหุ้นปั่น” กับ “พนันบอล” ต่างรู้ว่าหายนะรออยู่ข้างหน้า รู้ว่าปลายทางของ “แมลงเม่า” จำนวนมากอยู่บนดอย และบทสรุปของนักพนันส่วนใหญ่ คือ หนี้ก้อนโต แต่ทั้งแมลงเม่าและนักพนันก็ทนความเย้ายวนของมันไม่ได้ และคิดว่า “มันคงไม่ใช่เรา”
กระบวนการปั่นหุ้น ไม่ว่าจะเป็นขาใหญ่ ขาย่อย วิธีการจะสลับซับซ้อนเพียงใด แต่ก็อยู่บนขั้นตอนหลักๆ 4 ขั้นตอน คือ
1.ทยอยเก็บของ หรือสะสมหุ้น จะใช้ระยะเวลานานหลายสัปดาห์ หรืออาจจะนาน 1-2 เดือน ซึ่งวิธีการในการเก็บหุ้นก็จะมีอยู่ไม่กี่วิธี ตามความถนัดของคนปั่นและจังหวะที่ภาวะตลาดจะเอื้ออำนวย
2.ไล่ราคาและเพิ่มปริมาณการซื้อขาย โดยการ “โยนหุ้น” กันไปมาระหว่างในกลุ่ม ขายและรับซื้อ ซื้อแล้วขายกันอยู่อย่างนั้นสักพัก ราคาก็จะขยับขึ้นเรื่อยๆ ปริมาณการซื้อขายก็โป่งพองขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าตานักลงทุนรายย่อย
3.ปล่อยข่าวลือในทางที่เป็นผลดีต่อราคาหุ้นตัวนั้น ไม่ว่าจะเป็นการควบรวมกิจการ การขยายธุรกิจใหม่ เพิ่มทุนจดทะเบียน หรือเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ (แตกพาร์)
4.ออกของ หรือขายหุ้นออก เมื่อได้กำไรจนพอใจแล้ว และเมื่อนั้นก็ทำให้นักเล่นหุ้นปั่น “ติดดอย”
แต่ถ้าไปถามแมลงเม่าจะบอกว่า อยู่บนดอยกับหุ้นปั่น ยังดีกว่ามัวเมากับการพนันฟุตบอล เพราะติดหุ้นยอมตัดใจขายขาดทุนก็ยังพอได้เงินคืน หรือคิดเข้าข้างตัวเองหน่อยก็คิดเสียว่า “ไม่ขายไม่ขาดทุน”
ขณะที่ความสูญเสียที่เกิดจากการเล่นพนันฟุตบอล ไม่ใช่แค่ขาดทุนเงินสดในกระเป๋า แต่นักพนันจำนวนไม่น้อยที่ต้องขายรถ ขายบ้านไปใช้หนี้ นั่นยังแค่เบาะๆ เพราะรายไหนที่อาการหนักก็ถึงกับต้องก่ออาชญากรรมที่เห็นเป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์กันอยู่บ่อยๆ นี่ยังไม่นับปัญหาทางสังคมอื่นๆ ที่จะตามมาอีกไม่จบสิ้น
แต่ทุกคนก็ยังคิดอยู่ว่า “มันจะไม่ใช่เรา”
มีกลยุทธ์แต่สุดท้ายก็เจ๊ง
สิ่งที่ทำให้ทั้งคนเล่นหุ้นปั่นและพนันบอลต่างคิดว่า หายนะที่เกิดกับคนอื่นจะไม่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างแน่นอน เพราะคิดว่าจะเอาชนะและกินเงิน “เจ้ามือ” ได้ด้วยกลยุทธ์ต่างๆ ที่มีอยู่
ถ้าเป็นคนเล่นหุ้นปั่นก็จะจับจ้องมองหาหุ้นที่กำลังถูกไล่ราคา และเข้าไปผสมโรงกับเจ้ามือในช่วงที่เขากำลังเก็บหุ้นกันอยู่ จนเมื่อเจ้ามือเริ่มปล่อยของก็รีบเผ่นตามออกมา พร้อมกับหวังว่าจะไม่ใช่คนสุดท้ายที่เข้าไปเก็บของ
สำหรับนักพนันฟุตบอลเขาก็มีกลยุทธ์ในการเล่นพนันเหมือนกัน เพราะถ้าลองถามไปที่ “กูเกิล” กูรูผู้รู้ทุกอย่างบนโลก|ไซเบอร์จะมี “กลยุทธ์การเล่นพนัน” หลากหลายรูปแบบจากหลายแหล่ง (ที่คงต้องขออนุญาตไม่อ้างแหล่งที่มา) ซึ่งนักพนันหลายคนต่างลงความเห็นว่า คนคิดกลยุทธ์เหล่านี้อาจจะไม่ใช่เซียนพนัน แต่เป็นเจ้ามือพนัน
กลยุทธ์ที่ 1 เขาว่าเสี่ยง 80%
นักพนันที่ใช้กลยุทธ์นี้จะต้องเพิ่มจำนวนเงินพนันเข้าไปเมื่อเสียพนัน เช่น ครั้งแรกพนัน 1,000 บาทแล้วเสีย ในครั้งต่อไปต้องเพิ่มเงินพนันเข้าไปอีก 1,000 บาท เป็น 2,000 บาท แต่ถ้าคราวนี้ยังเสียอีก ครั้งต่อไปต้องเพิ่มไปเป็น 3,000 บาท เกิดคราวนี้โชคดีแทงถูกได้เงิน 3,000 บาท ก็จะได้ทุนคืน ครั้งหน้าก็ต้องเพิ่มเงินพนันเข้าไปอีก 1,000 บาท เป็น 4,000 บาท จากนั้นก็เป็น 5,000 บาท 6,000 บาท ไปเรื่อยๆ
แต่ก่อนจะใช้กลยุทธ์นี้ต้องกำหนดผลตอบแทนเป้าหมายเอาไว้ก่อน เพราะเมื่อได้ตามเป้าหมายแล้วก็ต้องหยุดเพิ่มเงิน แล้วกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
กลยุทธ์ที่ 2 เขาว่าเสี่ยง 60%
กลยุทธ์นี้ต้องใช้ความสามารถในการวิเคราะห์โอกาสในการแพ้ชนะของฟุตบอลแต่ละคู่ เช่น ฟุตบอลโลกรอบแรก มีการแข่งขันคืนละ 3 คู่ ทุ่มเงินพนันลงไปที่คู่ที่คิดว่า ทายถูกแน่ๆ แล้วอีก 2 คู่ก็ใช้เงินพนันน้อยหน่อย เหมือนเป็นการจัดสัดส่วนการลงทุน โดยให้น้ำหนักกับคู่ที่มั่นใจมากที่สุด
เช่น มั่นใจว่า สเปนชนะสวิตเซอร์แลนด์แน่ๆ ก็ทุ่มลงไปเลย 2,000 บาท อีกสองคู่ก็เล่นแค่คู่ละ 1,000 บาท อุ๊บส์!!! บังเอิญโชคร้าย สเปนแพ้
กลยุทธ์นี้จะมีโอกาสออกมา 5 ทาง คือ ได้ทั้ง 3 คู่ ได้ครึ่งหนึ่ง เสียเยอะ เจ๊าเท่าทุน และเสียหมด
กลยุทธ์ที่ 3 เขาว่าเสี่ยง 50%
กลยุทธ์นี้จะคล้ายๆ กับกลยุทธ์ที่ 2 คือ เล่นมันทั้ง 3 คู่ แต่ให้น้ำหนักแต่ละคู่เท่าๆ กัน เช่น คู่ละ 1,000 บาทเท่ากันหมด ทำให้กลยุทธ์นี้ไม่มีคำว่าเท่าทุน มีแต่ได้มาก- ทายถูก 3 คู่ ได้น้อย-ทายถูกคู่เดียว และเสียหมด เพราะทายไม่ถูกสักคู่
กลยุทธ์ที่ 4 เขาว่าเสี่ยง 90%
กลยุทธ์นี้ คือ ไม่มีกลยุทธ์ อยากเล่นเท่าไรก็เล่น คู่ไหนชอบมากก็เล่นมาก ชอบน้อยก็เล่นน้อย ไม่ต้องคิดมาก แต่ก็มีโอกาสเสียมากและเสียหมด
กลยุทธ์ที่ 5 เขาว่าเสี่ยง 30%
กลยุทธ์นี้เขาว่า มีความเสี่ยงน้อยที่สุด และเล่นง่ายที่สุด เพราะแค่เล่นมันวันละคู่ แต่ต้องเล่นมันทุกวัน เล่นไปเรื่อยๆ มันก็ต้องมีถูกบ้าง ผิดบ้าง สลับกันไป
นอกจาก 5 กลยุทธ์นี้แล้ว นักพนันฟุตบอลยังมีอีก 2 สูตร คือ “สูตรเล่นทบ” ของมาร์ติงเกล และ “สูตรฟิโบนัชชี่”
เล่นทบ หรือ วิธีมาร์ติงเกล มีหลักการง่ายๆ แต่ใช้เงินมาก คือ ทุกครั้งที่เล่นเสียจะต้องเพิ่มเงินพนันเข้าไปอีกเท่าตัวในครั้งต่อไป ตามสูตร 1...2...4...8...16...32...64...128...
ถ้าเริ่มต้นที่ครั้งละ 1,000 บาท ก็ต้องใช้ 1,000 คูณกับตัวเลขตามลำดับ ดังนั้นถ้าครั้งแรกเสีย ครั้งต่อไปก็เพิ่มเงินเป็น 2,000 บาท ถ้ายังเสียอีกก็ขยับเป็น 4,000 บาท ไปเรื่อยๆ เพราะสูตรนี้หวังว่า ไม่ว่าจะเสียไปสักกี่ครั้งถ้าได้คืนมาแค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว แต่ถ้าไม่เป็นไปตามนั้นก็ลองคิดดูแล้วกันว่า ในครั้งหลังๆ ต้องใช้ทุนมากแค่ไหน
และวิธีการเล่นทบแบบนี้แหละที่ทำให้นักพนันเป็นหนี้ท่วมหัวหนีหนี้กันหัวซุกหัวซุนกันมานักต่อนักแล้ว
ฟิโบนัชชี่ คือ ลำดับเลขที่ได้จากผลบวกของเลขในสองลำดับก่อนหน้า โดยลำดับแรก คือ 0 ลำดับต่อไป คือ 1 จากนั้นก็เป็น 1 อีก (เพราะ 0+1 = 1) หรือเรียงเป็นลำดับดังนี้ 1...1...2...3...5...8...13...21...34...55...89...144...
หลักการเล่นพนันด้วยวิธีนี้ คือ ถ้าเล่นเสียให้เพิ่มเงินการเล่นพนันไปที่จำนวนตามตัวเลขทางขวาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้จึงเลื่อนกลับไปเล่นตามจำนวนเงินทางซ้ายมือ เพราะฉะนั้นถ้าเริ่มต้นที่ 1,000 บาท ถ้าเสีย ครั้งต่อไปก็ยังเป็น 1,000 บาท ถ้ายังเสียอีกค่อยเพิ่มเป็น 2,000 บาท จากนั้นก็เป็น 3,000 บาท
ดังนั้น จะเห็นว่า ด้วยจำนวนเงินที่เท่ากัน วิธีฟิโบนัชชี่จะเล่นเสียได้มากครั้งกว่าวิธีมาร์ติงเกล เพราะถ้ามีเงินทุน 3.5 หมื่นบาท วิธีมาร์ติงเกลจะเสียได้ 7 ครั้ง แต่วิธีฟิโบนัชชี่จะเสียได้เพิ่มเป็น 10 ครั้ง
แต่ไม่ว่าจะเล่นด้วยวิธีไหน ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นกลยุทธ์ที่รอวัน “หมดตัว” เหมือนกัน
เจ้ามือไม่เคยเสีย
ไม่ต้องพูดถึงเรื่อง “ราคาต่อรอง” และ “ค่าน้ำจิ้ม” ที่เป็นกลยุทธ์เก็บเงินเข้ากระเป๋าของเจ้ามือพนันฟุตบอล เพราะเจ้ามือรับพนันฟุตบอลทุกเจ้ามีวิธีการบริหารที่ทำให้เจ้ามือไม่เคยขาดทุน
ในต่างประเทศที่มีเปิดรับพนันทายผลฟุตบอลอย่างถูกกฎหมายจะมีสอนเรื่องการบริหารจัดการความเสี่ยงของร้านรับพนัน เพื่อให้ร้านได้กำไรตลอดเวลา เช่นเดียวกับเจ้ามือหุ้นปั่นที่มีกลยุทธ์และเงินทุนมากพอที่จะปลุกปั่นและดันหุ้นให้เป็นไปตามต้องการ
คงจะเป็นเรื่องยากที่จะห้ามไม่ให้ใครสักคนเข้าไปพัวพันกับ “หญิงร้ายชายเลว” คู่นี้ แต่ถ้าคิดจะรักจะชอบก็ขอให้เป็นแค่แอบชอบอยู่ห่างๆ หรืออย่างน้อยๆ ก็ “รักได้ แต่อย่าหลง”
และถ้าจะลองเปลี่ยนเงินพนันมาเป็นเงินออมจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด เช่น ถ้าตั้งใจจะเล่นพนันฟุตบอลโลกคราวนี้ครั้งละ 1,000 บาท มีการแข่งขันกันทั้งหมด 64 คู่ ก็รวมเป็นเงิน 6.4 หมื่นบาท
แต่ถ้านั่นไม่ทำให้ตื่นเต้นมากพอ ลองเล่นพนันในใจ หรือเล่นพนันกับกระปุกออมสิน โดยคิดไว้เลยว่า คู่นี้จะเชียร์ทีมไหน ถ้าทายถูกก็ให้กระปุกออมสินจ่ายให้เรา 1,000 บาท ถ้าทายผิดก็หยิบเงินใส่กระปุกไป 1,000 บาท พอครบทั้ง 64 นัด ค่อยมาดูว่า เราหรือกระปุกที่ได้เงินมากกว่ากัน
เสร็จสรรพเอาเงิน 6.4 หมื่นบาทที่สะสมไว้ หรือเราเอาเงินจากกระปุกไปซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) หรือจะลงทุนกองทุนรวมที่ลงทุนในภูมิภาคละตินอเมริกา เพื่อรับประโยชน์จากการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2014 ของประเทศบราซิลก็ได้
รับรองว่า เผลอแป๊บเดียว 4 ปีผ่านไป ฟุตบอลโลกคราวหน้ามาถึงเงินพนันของเราจะงอกออกมาได้มากกว่า 6.4 หมื่นบาทแน่นอน ถ้าไม่เชื่อ... มาพนันกันก็ได้


