ร้องด้วยใจ ภัณฑิรา เทนสิทธิ์
ประเดิมคว้าแชมป์ในซีซั่นแรก “ร้องสู้ไฟ” (Keep Your Light Shining Thailand)
โดย...แจนยูอารี ภาพ : วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี
ประเดิมคว้าแชมป์ในซีซั่นแรก “ร้องสู้ไฟ” (Keep Your Light Shining Thailand) ด้วยพลังเสียงที่มัดใจกรรมการและผู้ร่วมโหวต “แสงสุดท้าย” เพลงนี้ละที่ทำให้ “เมย์-ภัณฑิรา เทนสิทธิ์” เฉือนชนะคู่แข่ง “ดาว-สุกฤตา คล้ายวิเชียร” ไปอย่างสนุกสุดมัน รับเงินรางวัลคนเดียวสูงถึง 4.5 ล้านบาท
สาวมั่นมาพร้อมลุคร็อกเท่ๆ เฉี่ยวๆ หน้าตา ทรงผม สะท้อนความเป็นตัวของตัวเอง ยิ่งเมื่อบวกเสียงห้าวของเธอที่สะดุดหู ทุกอย่างจึงกลายเป็นเสน่ห์ชวนฟังและเอกลักษณ์ประจำตัว
เธอย้อนวันวานครั้งเริ่มจับไมค์ร้องเพลงว่ามาจากการที่คลุกคลีกับสตูดิโออัดเสียงคุณอา ผู้เป็นดั่งบันไดก้าวแรกชักนำให้เธอเข้าสู่โลกเสียงเพลง นับแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ สิ่งที่เธอมีและเป็น พลังเสียงและเทคนิคต่างๆ ล้วนแต่อาศัยครูพักลักจำล้วนๆ
“ไม่เคยเรียนร้องเพลงเลยค่ะ เพราะเหมือนตอนนั้นเรื่องเงินหนูก็ไม่ได้มีมากพอที่จะไปจ่าย ก็เลยไม่ได้สนใจว่าจะต้องไปเรียนเพิ่มเติม ความรู้ทุกอย่างมันเกิดจากครูพักลักจำค่ะ พอรู้ว่าร้องยังไง หนูก็ใช้วิธีฝึกเอง อู้ๆ อี้ๆ อ้าๆ ตามประสาเด็กๆ (หัวเราะ) ซึ่งหนูก็ไม่รู้มันถูกหรือผิด แค่รู้ว่าทุกครั้งที่หนูร้องเพลง หนูจะร้องออกมาจากข้างใน ใจรู้สึกกับเพลงนั้น ก็จะร้องออกมา”
การคว้าแชมป์รายการ “ร้องสู้ไฟ” เมย์บอกว่ามันคือโอกาสและโชคชะตา จะเรียกว่าเธอเก่ง เธอว่าคงไม่ใช่ เพราะ 13 คนสุดท้ายที่ฝ่าฟันเข้ารอบมาหาใช่ไก่กาไม่ ทุกคนต่างเก่งกาจและขั้นเทพทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน จะว่าเพราะแรงเชียร์จากคนรอบข้างยิ่งเป็นไปไม่ได้ ด้วยว่ารายการนี้กรรมการไม่ใช่ประชาชนทั่วไปที่สามารถจะหยิบโทรศัพท์มากดโหวตได้อย่างสบายใจ
“หนูเชื่อนะคะว่าการที่คนคนหนึ่งถูกตีกรอบมาเป๊ะๆ มันก็ต้องเดินตามกรอบและทำตามกรอบ แต่หนูไม่เลยค่ะ ชีวิตหนูไม่เคยถูกตีกรอบไว้ว่าจะต้องเดินทางนี้เดินทางนั้น ฉะนั้นหนูก็เลยมีอิสระที่จะทำ อย่างการร้องเพลง หนูก็ไม่มีกรอบมากั้น หนูทำตามใจ ทำตามความรู้สึก รู้สึกแล้วค่อยทำ รู้สึกกับมันแล้วค่อยร้อง สิ่งที่ร้องสิ่งที่ทำ มันก็เลยเป็นอะไรที่ค่อนข้างไร้กรอบพอสมควร”
เมย์เกิดที่ระยอง ก่อนจะย้ายมาลงหลักปักฐานที่กรุงเทพฯ ด้วยความฝันและความรักในการร้องเพลง เธอจึงไม่ยอมหยุดที่จะไล่ล่าหาความสำเร็จ โดยรับจ๊อบพิเศษเป็นนักร้องกลางคืนตอน ม.4 จนกระทั่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัย (คณะเกษตรฯ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) เธอก็ได้พบกับวงดนตรีที่มากฝีมือและได้เรียนรู้ศาสตร์แห่งการร้องเพลงมากเป็นลำดับ
“ร้องประกวดไม่เคยเลยค่ะ เวทีนี้คือเวทีแรก ก็มีความคิดนะคะว่าจะไปสมัคร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป ว่าจะ ว่าจะ ก็ว่าจะไปอยู่อย่างนั้น เอาจริงๆ เลยนะคะ ที่หนูน่ะไม่อยากไปประกวด เพราะไม่อยากกดดันตัวเอง ทำไมต้องไปแข่งกับคนอื่นล่ะ แข่งกับตัวเองก็พอแล้วมั้ง ตอนนั้นคิดแบบนี้ คนอื่นพยายามจะตามหาฝันตัวเอง นู่นนี่นั่น ไปสมัครทุกเวทีประกวด หรือว่าหนูติสต์แตกก็ไม่รู้นะ (หัวเราะลั่น) พอหนูมาสมัครร้องสู้ไฟ ความคิดหนูเปลี่ยนไปเลยนะ การที่ฝันอย่างเดียวแต่ไม่ลงมือทำ แล้วเราจะฝันไปเพื่ออะไร ถ้าตราบใดยังไม่เคยลองทำ ตรงนี้นี่ล่ะที่ทำให้หนูตัดสินใจมาสมัครประกวด อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะเรื่องภาระหนี้สินที่ครอบครัวหนูมี ก็เลยมีความคิดว่าอยากจะปลดล็อกให้แม่ รวมทั้งความป่วยไข้ของแม่และหนูเองด้วย ซึ่งต้องใช้เงินในการรักษา ถ้าเกิดหนูชนะ คิดแค่ว่าก็จะเอาเงินรางวัลที่ได้ไปซื้อชีวิตใหม่ ฟังดูอาจจะดราม่า แต่เรื่องนี้หนูไม่เคยบอกใคร เพราะไม่อยากให้เรื่องราวของหนูเป็นดราม่าในรายการ”
เรื่องราวทั้งหมดที่เมย์เล่า จะดราม่า หรือไม่ดราม่า เราไม่รู้ แต่รู้คือในวันที่เมย์ร้องสู้ไฟรอบชิงชนะเลิศ กับการถ่ายทอดบทเพลงที่เธอเลือกเอง ความหมายเพลงนั้น “แสงสุดท้าย” บ่งบอกชีวิตเธอไม่มากก็น้อย และเธอก็ทำได้ดีจนใครๆ ต้องยอมโหวตคะแนนให้
ก้าวต่อไปของสาววัย 26 ยังอีกยาวไกล ถนนดนตรียังมีพื้นที่ให้เธอยืนหยัด อยู่ที่ตัวเธอว่าจะเลือกเส้นทางไหน วันนี้เธออาจยังไม่มีผลงาน แต่อีกไม่นาน เธอย้ำเสียงเข้มว่ามีแน่นอน จะอะไร แนวไหน เธอขออุบไว้ให้แฟนๆ คอยติดตาม


