ลงทุน 'สมดุลตามอายุ' ง่ายมากและได้มาก
เธอๆ ปีนี้อายุเท่าไร แล้วคิดไว้หรือยังว่าทำงานอีกกี่ปีถึงจะเกษียณ
เธอๆ ปีนี้อายุเท่าไร แล้วคิดไว้หรือยังว่าทำงานอีกกี่ปีถึงจะเกษียณ
ถ้าเธอเป็นคนวัย 20 ต้นๆ ทำงานอีก 40 ปี ไปเกษียณแถวๆ ปี 2590-2600 แต่ถ้าเธอเข้าใกล้หลัก 40 เหลือเวลาทำงานอีกแค่ 20 นิดๆ ปี 2570-2580 เราก็คงไม่มีงานประจำทำกันแล้ว
ไม่ว่าวันนี้ “เธอ” (ทั้งชายและหญิง)จะอายุเท่าไร เธออย่าลืมลงทุนสำหรับวัยเกษียณเอาไว้ด้วย แม้ว่าเวลา 20 หรือ 40 ปี เหมือนจะอีกนานมาก แต่ก็อย่าชะล่าใจเกินไป เพราะเวลามักจะผ่านไปไวเหมือนโกหกเสมอ
และถ้าจะให้ดีต้องลงทุน “ตามทฤษฎี” เป๊ะ!!!
คนที่อายุน้อยต้องลงทุนที่มีความเสี่ยงมากหน่อย จะได้มีโอกาสได้ผลตอบแทนมากๆ แต่พออายุมากขึ้นก็ต้องค่อยๆ ลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงลงเรื่อยๆ เพื่อความปลอดภัยของเงินต้น
แต่เรื่องแบบนี้ “พูดง่ายแต่ทำยาก” เพราะบางทีก็ลืม บางทีก็ขี้เกียจ บางทีก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร บางทีก็คิดว่าจะเปลี่ยนไปทำไมในเมื่อลงทุนแบบเดิมก็ดีอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นคงจะดีถ้าจะมีคนมาช่วยจัดการให้
TDF คือคำตอบ
คำศัพท์ใหม่ประจำสัปดาห์นี้ ขอเสนอคำว่า TDF ย่อมาจาก Target Date Funds หรือแปลเป็นไทยว่า “กองทุนสมดุลตามอายุ” ซึ่งจะเป็นคำตอบให้กับการลงทุนเพื่อวัยเกษียณแบบง่ายๆ สบายๆ และตรงตามทฤษฎี
จริงๆ แล้ว TDF อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เพราะ กบข.เปิดโอกาสให้สมาชิกสามารถเลือกได้ว่าเงินออมเพื่อวัยเกษียณที่มีอยู่กับ กบข.นั้นจะให้ลงทุนอะไรบ้าง โดย 1 ใน 5 แผนการลงทุนที่มีให้เลือก คือ “แผนสมดุลตามอายุ”
แต่ถ้าเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในตอนนี้มีเพียงแห่งเดียวที่มีแผนการลงทุนง่ายๆ สบายๆ แบบนี้ให้สมาชิกเลือกลงทุน
ในขณะที่กองทุนรวมที่กำหนดนโยบายการลงทุนตามช่วงอายุของนักลงทุนก็มีให้ลงทุนอยู่บ้าง แต่ไม่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนเท่าไรนัก
ไม่ว่าจะเป็น TDF ในรูปแบบของแผนการลงทุนของ กบข. หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนรวม จะมีหลักการลงทุนแบบเดียวกัน คือ กำหนดสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะกับ “อายุ” ของคนลงทุน
นั่นคือ มีสัดส่วนลงทุนในหุ้นมากหน่อยในช่วงที่เจ้าของเงินอายุยังน้อย มีเวลาอีกหลายสิบปีกว่าจะเกษียณ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสัดส่วนการลงทุนในหุ้นก็จะลดลงเรื่อยๆ ให้เหมาะกับอายุของเจ้าของเงินที่มากขึ้นเรื่อยๆ
หลักการลงทุนแบบนี้จะต่างจากกองทุนเพื่อการเกษียณแบบดั้งเดิม ที่จะรักษา “ระดับความเสี่ยง” ของกองทุนเอาไว้เท่าเดิมตลอดเวลา เช่น ตราสารหนี้ 90% และหุ้น 10% เพราะฉะนั้นเมื่อไรที่สัดส่วนระหว่างหุ้นกับตราสารหนี้มันเพี้ยนไปจากเดิม ก็จะถูกปรับให้กลับมาอยู่ในสัดส่วนเดิมอีกครั้ง (อาจจะปรับกันปีละ1-2 ครั้ง)
เมื่อกองทุนไม่เปลี่ยนสัดส่วนการลงทุน จึงทำให้บางกองทุน ในบางเวลา ไม่เหมาะกับเรา เช่น ถ้าเราอายุน้อยๆ แต่ไปลงทุนกองทุนที่มีการลงทุนในหุ้นเล็กน้อยจะทำให้เราเสียโอกาสที่จะทำให้เงินงอกเงย หรือถ้าเราอายุใกล้เกษียณแล้ว แต่เงินจำนวนมากยังอยู่ในกองทุนที่ลงทุนหุ้นในสัดส่วนสูงๆ ก็มีความเสี่ยงมากเกินไป
เพราะฉะนั้นถ้าเลือกลงทุนใน TDF แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะลืมเปลี่ยนนโยบายลงทุนให้เหมาะกับอายุ และไม่ต้องมีความรู้เรื่องการลงทุนมากนัก เพราะเราแค่เลือกกองทุนที่จะลงทุนเพียงครั้งเดียว ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้จัดการกองทุน
กำไรเพิ่ม ความเสี่ยงลด
การลงทุนใน TDF ไม่ใช่แค่ง่ายและสบายเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราได้กำไรเพิ่มขึ้นในช่วงที่อายุยังน้อย และลดความเสี่ยงที่เงินต้นจะหายเมื่อเราอายุมาก
ถ้าดูจากสัดส่วนการลงทุนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไทยทั้งอุตสาหกรรม จะเห็นว่ามีการลงทุนในตราสารหนี้ 50% และตราสารตลาดเงิน 29% รวมกันแล้วเกือบ 80% ขณะที่มีหุ้นอยู่เพียง 14% เท่านั้น
นี่มันสัดส่วนการลงทุนของคนแก่ชัดๆ เพราะเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจ ที่จะประเมินผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนสัดส่วนแบบนี้อยู่ที่ 5% เท่านั้น (จริงๆ อาจจะประเมินสูงไปด้วยซ้ำ เพราะบางกองทุนมีผลตอบแทนน้อยกว่านี้)
เจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซีไอเอ็มบีพรินซิเพิล บอกว่า ถ้าเปลี่ยนมาลงทุนในกองทุนสมดุลตามอายุจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
เพราะเมื่อประเมินผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี จากการจำลองพอร์ตลงทุนที่จัดสัดส่วนลงทุนให้เหมาะสมกับอายุ พบว่ากองทุนสำหรับคนที่จะเกษียณในปี 2594-2603 ที่มีการลงทุนในหุ้น 50% ของพอร์ตจะกำไรเฉลี่ยปีละ 11%
ในขณะที่คนใกล้จะเกษียณผลตอบแทนจะอยู่ที่ 6% เท่านั้น แต่ที่น่าสังเกตคือ ในปี 2551 ที่ตลาดหุ้นไทยตกลงไป 42% พอร์ตลงทุนของคนกลุ่มนี้ลดลงไปแค่ 2% เท่านั้น
ช่วยยืนยันอีกแรงด้วยผลการศึกษาของคณาจารย์คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง “ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความพอเพียงของรายได้จากการออมและลงทุนเพื่อเกษียณอายุ : กรณีศึกษาสำหรับสมาชิก กบข.”
ผลการศึกษาพบว่า ในวันเกษียณอายุคนที่เลือกการลงทุนในแผนสมดุลตามอายุจะมีเงินมากกว่าคนที่เลือกลงทุนตามแผนหลัก (มีสัดส่วนตราสารหนี้ 70% หุ้น 20% และอสังหาริมทรัพย์ 10%) เช่น สมาชิก กบข.ที่มีอายุระหว่าง 21-25 ปี ที่เลือกลงทุนแบบสมดุลตามอายุ ถ้าไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอะไร จะมีเงินเมื่อวันเกษียณ 4.14 ล้านบาท มากกว่าการเลือกแผนหลักที่จะได้เงินมา 3.87 ล้านบาท
แต่ถ้าโชคร้ายไปเจอวิกฤตเศรษฐกิจ เงินที่ได้จากการลงทุนตามแผนสมดุลตามอายุก็ยังได้ใกล้เคียงกับแผนหลักที่ 2.5 ล้านบาท
ขณะที่คนอายุ 56-60 ปี ที่แม้ว่าการเลือกลงทุนตามแผนสมดุลตามอายุจะทำให้ได้เงินเกษียณน้อยกว่าแผนหลัก (เพราะมีสัดส่วนการลงทุนหุ้นน้อยกว่า) แต่หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เงินที่จะได้จากแผนสมดุลตามอายุจะมากกว่าแผนหลัก
เพราะฉะนั้นจึงช่วยให้มั่นใจว่า การลงทุนแบบสมดุลตามอายุ หรือ TDF ช่วยทั้งเพิ่มโอกาสได้ผลตอบแทนมากขึ้น และยังช่วยลดความเสี่ยงอีกด้วย
ทั้งง่ายและได้มากขนาดนี้ รับรองว่า TDF จะกลายเป็นเทรนด์ใหม่สำหรับการลงทุนเพื่อการเกษียณในประเทศไทยแน่นอน เพราะฉะนั้นใครที่ยังหาช่องทางที่จะลงทุนแบบนี้ไม่เจอ ก็ขอให้อดใจรออีกไม่นาน
แต่ใครที่มีช่องทางนี้ให้เลือกลงทุน จะรอช้าอยู่ทำไม


