posttoday

ผลกระทบหลังการขึ้น VAT

06 สิงหาคม 2557

อย่าเพิ่งได้ตกใจไปครับ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ยังไม่ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด อัตราภาษียัง “คง” อยู่ที่ 7%

อย่าเพิ่งได้ตกใจไปครับ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ยังไม่ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด อัตราภาษียัง “คง” อยู่ที่ 7% ครับ อย่างน้อยก็ถึงวันที่ 30 ก.ย. 2558 แต่หลังจากนั้นอาจจะกลับไปใช้อัตราที่ 10% อย่างไรก็ตามสถานการณ์อาจมีการเปลี่ยนแปลงและอาจมีการต่ออายุมาตรการชั่วคราวนี้ต่อไปอีกก็เป็นได้ แต่ในที่นี้เราอยากจะช่วยชี้ถึงผลกระทบอันอาจจะเกิดขึ้น เพื่อที่จะได้เตรียมพร้อมรับมือได้ทัน

ญี่ปุ่นน่าจะเป็นกรณีศึกษาจากต่างประเทศที่เห็นได้ชัดเจน เพราะเพิ่งจะมีการเพิ่มภาษีการขายจาก 5% เป็น 8% ไปเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ต่างจากกรณีอื่นๆ ที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นทันทีเพราะราคาสินค้าที่ผู้บริโภคเผชิญเมื่อรวมภาษีแล้วปรับตัวสูงขึ้น แต่เงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นแค่ในช่วง 12 เดือนเท่านั้น เมื่อผ่านพ้น 12 เดือนไปแล้ว อัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวลงเพราะเป็นการเปรียบเทียบกับฐานภาษีใหม่เหมือนกันแล้ว โดยในกรณีญี่ปุ่นอัตราเงินเฟ้อทรงตัวในระดับ 1.3% ในช่วง 3 เดือนก่อนขึ้นภาษี แต่พอมีการปรับขึ้นภาษีแล้วอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นเป็น 3.2% ในเดือน เม.ย. และต่อเนื่องเป็น 3.4% ในเดือน พ.ค. หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 2% (ซึ่งจะเห็นว่าต่ำกว่าการเพิ่มขึ้นของภาษี 3% เพราะสินค้าบางประเภทอาจไม่มีการคิดภาษีจึงไม่ถูกกระทบ)

ในด้านเศรษฐกิจ การบริโภคจะเร่งตัวขึ้นอย่างมากในช่วง 12 เดือนก่อนขึ้นภาษี เนื่องจากผู้บริโภคจะเร่งใช้จ่ายเพื่อกักตุนสินค้าไว้ในช่วงที่ราคา (รวมภาษี) ยังต่ำ ขณะที่ภาคการผลิตก็เตรียมพร้อมรับมือด้วยการทยอยเพิ่มกำลังการผลิตในช่วง 45 เดือนก่อนการขึ้นภาษี แต่หลังจากที่มีการปรับภาษีขึ้นทั้งการใช้จ่ายและการผลิตก็จะลดลงไปค่อนข้างมาก เศรษฐกิจจะชะลอตัวในระยะสั้น ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ญี่ปุ่นเผชิญอยู่ในขณะนี้ แต่เชื่อว่าการใช้จ่ายก็จะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ ดังเห็นได้จากความเชื่อมั่นภาคครัวเรือนของญี่ปุ่นที่ลงไปต่ำสุดในเดือนก่อนการขึ้นภาษี แต่ก็ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างเร็วและต่อเนื่องหลังจากนั้น อย่างไรก็ตามในระยะยาวความต้องการย่อมจะต้องต่ำกว่าก่อนการขึ้นภาษีเพราะราคาสินค้าได้แพงขึ้น เป็นตามหลักอุปสงค์ตามปกติ (เฉพาะผลกระทบทางตรง)

ครั้นถามว่าผลกระทบต่อภาพเศรษฐกิจโดยรวมจะเป็นเช่นไร? ก็ต้องดูว่าเมื่อรัฐบาลมีรายได้มากขึ้นแล้วเอาไปใช้จ่ายอย่างไร ถ้านำไปใช้จ่ายเหมือนอย่างที่ผู้บริโภคใช้อยู่ก่อนแล้วก็เสมือนเป็นการโยกเงินจากกระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวา ทำให้การขึ้นภาษีมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมไม่มากนัก แต่ถ้ารัฐบาลสามารถนำเงินไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์ในระยะยาว อย่างเช่นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ก็น่าจะทำให้เศรษฐกิจมีอนาคตที่สดใสมากยิ่งขึ้น แม้ว่าจะต้องแลกด้วยเศรษฐกิจระยะสั้นที่ชะลอลงก็ตาม

คำถามคือเราควรขึ้นภาษีตัวนี้หรือไม่? ที่ผ่านมาการคง VAT ไว้ที่ 7% ได้ใช้เหตุผลว่าเศรษฐกิจอ่อนแอมาโดยตลอด แต่ในปีหน้าเราคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ถึง 5.2% ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทยก็มองสูงถึง 5.5% เพราะฉะนั้นความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจคงไม่เป็น “ข้ออ้าง” ให้คงอัตราภาษีต่ำได้ แต่กลับอาจเป็น “เหตุผล” สนับสนุนให้มีการปรับขึ้นอัตราภาษีได้เสียอีก

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในระยะยาวภาระการคลังจะมากขึ้นจากการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และโครงสร้างประชากรที่สูงวัยมากขึ้น ทำให้ภาครัฐต้องพยายามหารายได้เพิ่มขึ้น แต่ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้านี้เรากลับมองว่าความจำเป็นด้านการคลังในการขึ้น VAT ยังไม่ได้มากนัก การกู้ยืมหรือการให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนก็เป็นอีกทางเลือกในการหาแหล่งเงินทุนมาสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จะเกิดขึ้น หนี้สาธารณะต่อ GDP ของเราในปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ประมาณ 46% ก็ถือว่าไม่ได้สูงนัก ภาครัฐยังมีความสามารถในการกู้อีกค่อนข้างมาก ตามกรอบกฎหมาย (เดิม) รัฐบาลสามารถขาดดุลได้สูงสุดถึงประมาณ 5.6 แสนล้านบาท แต่ถ้าเกรงว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จะเพิ่มขึ้น รัฐบาลก็ยังสามารถขาดดุลได้ถึง 3.3 แสนล้านบาท (รวมค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย) โดยที่ไม่กระทบต่อสัดส่วนดังกล่าว จากสมมติฐานว่า Nominal GDP หรือตัวส่วนเติบโต 6%

สุดท้ายแล้วคงต้องตามไปลุ้นกันว่าแผนการปฏิรูปโครงสร้างภาษีทั้งระบบของกระทรวงการคลังว่าจะมีการพูดถึงภาษีนี้อย่างไร? อาจจะมีการปรับขึ้นเป็น 10% ก็ได้ หรือจะออกแนว Compromise คือ ทยอยปรับขึ้นเล็กน้อย รวมถึงอาจมีการหาแหล่งรายได้จากภาษีใหม่ๆ ตัวอื่นมาทดแทน หรือไม่ก็รอให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมาตัดสินใจปรับขึ้นอัตราภาษีในภายหลังก็เป็นได้ครับ

ข่าวล่าสุด

เปิดภาพคุมตัว "น.ส.ลัก" สอบเข้ม ปมบังคับลูกสาววัย 12 ค้ากามญี่ปุ่น