งานง่าย ได้เงินสบาย ให้รายได้ 24 ชั่วโมง
จะดีแค่ไหน ถ้าเรามีรายได้เข้ามาตลอด ไม่ว่าเราจะกำลังทำอะไร ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน
จะดีแค่ไหน ถ้าเรามีรายได้เข้ามาตลอด ไม่ว่าเราจะกำลังทำอะไร ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าเราจะหลับ หรือจะตื่น...ขอต้อนรับสู่ การสร้างรายได้แบบสัปดาห์ละ 7 วัน วันละ24 ชั่วโมง
ฟังดูเหมือนโฆษณาชวนเชื่อ (ที่ไม่น่าเชื่อเท่าไร) แต่เชื่อเถอะว่า เราสามารถทำได้จริง และรายได้แบบนี้ก็มีอยู่จริง เราเรียกรายได้แบบนี้ว่า Passive Income
Active กับ Passive
หลายคนรู้จักคำว่า Passive Income จากการอ่านหนังสือ “พ่อรวยสอนลูก” ของ โรเบิร์ต คิโยซากิ เรียกว่า เห็นปุ๊บก็ปิ๊งเลย และพยายามจะหา Passive Income มาเข้ากระเป๋าให้ได้ เพราะคำว่า Passive Income ยังมาพร้อมกับคำว่า “อิสรภาพทางการเงิน”
แต่ก่อนจะรู้จัก Passive Income ก็ต้องเข้าใจ Active Income เสียก่อน เพราะรายได้ทั้งสองประเภทนี้ยืนกันอยู่คนละฝั่ง
Active Income เป็นรายได้ที่กว่าจะได้มาก็ต้องออกแรงกันหน่อย ใช้แรงงานแลกเงิน ไม่ว่าจะเป็นแรงงานแบกหามแม่ค้าก๋วยเตี๋ยว ช่างซ่อมรองเท้า หรือมนุษย์เงินเดือน ซึ่งถ้าหมดแรงทำงานก็ไม่มีเงินเข้ามา
Passive Income เป็นรายได้ที่อยู่เฉยๆ ก็มีเงินไหลเข้ากระเป๋า และที่สำคัญ คือ ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีวันหยุด แม้ว่าเราจะหยุดทำงานไปแล้ว
แล้วเราจะไปหารายได้ดี 24 ชั่วโมงแบบนี้มาจากไหน
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เวลาพูดถึง Passive Income คนส่วนใหญ่จะคิดถึงแต่คำว่า MLM
ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว รูปแบบรายได้ และช่องทางการหารายได้แบบ 24 ชั่วโมง มีอยู่มากมายหลายวิธี และเราอาจจะลืมไปว่า รายได้บางรูปแบบที่เราได้รับอยู่มันก็คือ Passive Income รูปแบบหนึ่ง เพียงแต่มันยังอาจจะไม่มากพอที่จะมาเทียบรัศมี Active Income เท่านั้นเอง
1.ดอกเบี้ย
รายได้จากดอกเบี้ย ก็คือ ผลตอบแทนจากการนำเงินไปให้คนอื่นกู้ ไม่ว่าจะเป็นเงินฝากธนาคาร สลากออมสิน สลาก ธ.ก.ส. รวมไปถึงการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้บริษัทเอกชน (ทั้งการลงทุนทางตรง และการลงทุนผ่านกองทุนรวม)
ในหลายปีที่ผ่านมารายได้จากดอกเบี้ยอาจจะไม่มากนัก แต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่เกินไป โดยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ประมาณ 3-4% ต่อปี
ขณะที่หุ้นกู้บริษัทเอกชนจะได้ดอกเบี้ยมากขึ้นอีกนิด และถ้าเป็นตราสารหนี้ต่างประเทศ อาจจะได้ดอกเบี้ยมากขึ้นอีกหน่อย ประมาณ 4-7% ต่อปี
2.ค่าเช่า
รายได้จากค่าเช่า เป็น Passive Income อีกรูปแบบหนึ่งที่เราคุ้นเคยกันดี และหลายคนก็มักจะนึกถึง “อสังหาริมทรัพย์” ไม่ว่าจะเป็น บ้าน คอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ ที่ซื้อแล้วปล่อยให้เช่า จากนั้นก็รอรับค่าเช่าในแต่ละเดือนสบายๆ
แต่การซื้ออสังหาริมทรัพย์มาปล่อยเช่าก็อาจจะเหนื่อยหน่อย ถ้าระบบการบริหารจัดการไม่ดีพอ และอาจจะต้องใช้เงินก้อนใหญ่หน่อยกว่าที่จะได้เป็นเจ้าของ
เพราะฉะนั้น แทนที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์มาปล่อยเช่า เราลองเปลี่ยนมาซื้อกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ น่าจะเบาตัวกว่า เพราะแม้ว่า จะเรียกผลตอบแทนที่จ่ายออกมาว่า “เงินปันผล” แต่ที่มาของรายได้ คือ ค่าเช่า
กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ส่วนใหญ่จะจ่ายปันผลปีละ4 ครั้ง โดยอัตราเงินปันผลตอบแทน ประมาณ 6-8% ต่อปี (ขึ้นอยู่กับประเภทกองทุนและลักษณะธุรกิจ) แต่ถ้ารอจังหวะซื้อในตลาดหุ้นตอนที่ราคาลงไปต่ำๆ น่าจะได้ผลตอบแทนมากกว่านี้
3.ปันผล
เงินปันผล คือ ส่วนแบ่งรายได้ที่บริษัทจะจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นเมื่อกิจการมีกำไร เพราะฉะนั้น ถ้าอยากได้ปันผลก็ต้องเลือกลงทุนในบริษัทที่มั่นใจว่า จะมีกำไรมาจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้น ซึ่งเรามักจะเรียกบริษัท หรือหุ้นที่มีลักษณะแบบนี้ว่า “หุ้นปันผล”
คนไทยโชคดีมาก เพราะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยขึ้นชื่อมากๆ เรื่องการจ่ายปันผล (แม้ว่าดัชนีหุ้นจะไม่ค่อยดีเท่าไร) เพราะข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 21 มี.ค. อัตราเงินปันผลตอบแทนของหุ้นไทยทั้งหมดเฉลี่ยอยู่ที่ 3.29%
และถ้าจะหาหุ้นดีๆ ที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทนมากกว่า 5% และมีการจ่ายมาอย่างต่อเนื่อง ก็สามารถหาได้ไม่ยากเลย
แต่ถ้าไม่รู้ว่าจะเลือกหุ้นอะไรดี คงต้องพึ่งพาการลงทุนผ่านกองทุนรวม โดยเลือกกองทุนหุ้นที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นปันผลโดยเฉพาะ ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะทำหน้าที่เลือกหุ้นที่ดีมีอัตราเงินปันผลตอบแทนที่น่าสนใจให้เราเอง
นอกจากนี้ การลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานก็ยังสามารถให้รายได้ในรูปของเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าอาจจะไม่มากเท่ากับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์หรือหุ้นปันผล
แต่ต้องบอกกันไว้ก่อนว่า กำไรจากการซื้อขายหุ้น ไม่ใช่ Passive Income เพราะไม่ได้มีเข้ามาตลอด
4.คอมมิชชั่น
รายได้จากค่าคอมมิชชั่น หรือค่านายหน้า เป็นรายได้ที่ได้จากส่วนแบ่งยอดขาย ในธุรกิจที่ใช้การตลาดแบบหลายชั้น หรือ MLM จะมีรายได้ส่วนหนึ่งในรูปของคอมมิชชั่น (ไม่ว่า จะเรียกมันว่าอะไรก็ตาม) โดยค่าคอมมิชชั่นหรือค่านายหน้า อาจจะคำนวณจากมูลค่าธุรกิจในสายงานหรือยอดขายอัตราแตกต่างกันไป
แต่รายได้แบบนี้จะนับเป็น Passive Income ที่แท้จริงต่อเมื่อเราหยุดทำงานแล้วยังคงได้รับเงินส่วนนี้อยู่ แต่ถ้ามีเงื่อนไขให้ต้องรักษายอดขาย เพื่อรักษารายได้ส่วนนี้เอาไว้ก็อาจจะไม่สามารถเรียกว่าเป็น Passice Income ได้เต็มปากนัก
อีกช่องทางหนึ่งที่เราสามารถหารายได้จากค่าคอมมิชชั่นได้ คือ ธุรกิจออนไลน์ ซึ่งมีหลายรูปแบบที่น่าสนใจ
การเปิดให้เช่าพื้นที่โฆษณาในเว็บไซต์ หรือบล็อกส่วนตัวของเรา เช่น Google AdSense ซึ่งเราจะได้ค่าคอมมิชชั่นจาก Google Inc. ถ้ามีคนคลิกไปอ่านโฆษณาที่ปรากฏอยู่ในหน้าเว็บไซต์ของเรา โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากรายได้ของ Google Inc. ในแต่ละคลิก
การรับจ้างโฆษณาขายสินค้าออนไลน์ ที่ใช้การตลาดแบบ Affiliate Marketing โดยเราจะได้รับส่วนแบ่งรายได้จากยอดขายสินค้าที่คลิกมาจากโฆษณาของเรา ซึ่งรายได้ในรูปแบบนี้อาจจะได้ตั้งแต่ 20-40% ของยอดขาย
5.ค่าลิขสิทธิ์
ปัญญาของเราสร้างรายได้แบบ 24 ชั่วโมงให้เราได้ ถ้าเราสร้างงานที่เป็น “ทรัพย์สินทางปัญญา” ไม่ว่าจะเป็น การสร้างสิ่งประดิษฐ์ การเขียนหนังสือ การแต่งเพลง หรืออะไรก็ได้ที่ปัญญาของเราจะเอื้ออำนวย
ถ้าเราเป็นนักเขียนที่เป็นเจ้าของพ็อกเกตบุ๊กสักเล่ม เราในฐานะนักเขียนจะได้ค่าตอบแทนประมาณ 10% ของราคาหนังสือ ไม่ว่าหนังสือจะพิมพ์ออกมากี่เล่มเราก็จะได้รับส่วนแบ่งค่าลิขสิทธิ์นั้นไปตลอด
ไม่ต้องปิดตัวเองอยู่กับรูปแบบเดิมๆ ก็ได้ เพราะในยุคนี้โอกาสเปิดกว้างสำหรับคนมีฝีมือในทุกด้าน เช่น ทำเกมออนไลน์ เขียนแอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟน เขียนสติกเกอร์ใน Line ก็สามารถสร้าง Passive Income ได้
6.กำไรจากธุรกิจ
ถ้าคิดจะมีรายได้ที่มาจากธุรกิจส่วนตัว ต้องเป็นธุรกิจที่วางระบบการทำงานที่ชัดเจน จนทำให้เราไม่ต้องเข้าไปวุ่นวายกับการบริหารจัดการ เพราะถ้าเรายังต้องเข้าไปวุ่นวายกับการบริหารงาน ยังต้องนั่งทำงานทุกวัน ไม่ว่าจะในตำแหน่งหน้าที่อะไร นั่นยังไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็น Passive Income
ธุรกิจหลายอย่างมีระบบการจัดการที่ดีอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องสร้างหรือจัดระบบด้วยตัวเอง เช่น ธุรกิจแฟรนไชส์ หรือรวมไปถึงสารพัดตู้หยอดเหรียญ
Action, Action & Action
อยากมี Passive Income ต้องทำ Action Plan โดยการวางแผนให้เหมาะสมกับตัวเรา ที่เริ่มจากการตั้งคำถามว่า...
- อยากจะมี Passive Income เดือนละเท่าไร
- รายได้จากช่องทางไหนบ้างที่เหมาะกับตัวเรา ทำแล้วสบายใจ
- รายได้จากแต่ละช่องทางเป็นอย่างไร
- ต้องทำอย่างไรเพื่อให้ได้รายได้ตามจำนวนที่ตั้งใจ
บางคนบอกว่า แค่เริ่มตั้งคำถามก็ท้อแล้ว เพราะอยากจะมี Passive Income เดือนละ 2 หมื่นบาท โดยเลือกช่องทาง “หุ้นปันผล” ที่คาดว่าจะให้อัตราเงินปันผลตอบแทน 5%ต่อปี นั่นแปลว่า จะต้องมีเงินลงทุนทั้งสิ้น 4.8 ล้านบาท
ในกรณีแบบนี้คงต้องหาทางเพิ่มช่องทางที่จะได้ Passive Income ยังแบ่งได้เป็น 2 หมวดใหญ่ คือ ใช้เงินต่อเงิน กับใช้ความสามารถ
ใช้เงินต่อเงิน ก็อาจจะใช้เวลาในการสร้างนานหน่อย เช่น การลงทุนตราสารทางการเงินประเภทต่างๆ
ใช้ความสามารถ ก็ต้องใช้พลังงานในการสร้างมากหน่อย เช่น การทำธุรกิจ การเขียนหนังสือ
เพราะฉะนั้น ถ้าช่วงแรกยังไม่มีเงินมาต่อเงิน ก็ใช้ความสามารถหาเงิน เพื่อสะสม Passive Income ไปเรื่อยๆ และยังไม่ต้องทิ้ง Active Income เพียงแต่ให้ทุกย่างก้าวอยู่บนเส้นทางสู่การสร้างรายได้แบบสัปดาห์ละ 7 วัน วันละ 24 ชั่วโมง


