posttoday

เกาะกระแสสุขภาพ กับ ObamaCare (ตอนที่ 1)

08 มกราคม 2557

ObamaCare คือ กฎหมายประกันสุขภาพที่มีชื่อว่า The Patient Protection & Affordable Care Act (PPACA) หรือ Affordable Care Act (ACA) สร้างขึ้นมาเพื่อคุ้มครองและปกป้องสิทธิของผู้ป่วยชาวอเมริกัน มีเป้าหมายเพื่อให้อเมริกันชนสามารถซื้อประกันสุขภาพและเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างทั่วถึงในราคาไม่แพง

ObamaCare คือ กฎหมายประกันสุขภาพที่มีชื่อว่า The Patient Protection & Affordable Care Act (PPACA) หรือ Affordable Care Act (ACA) สร้างขึ้นมาเพื่อคุ้มครองและปกป้องสิทธิของผู้ป่วยชาวอเมริกัน มีเป้าหมายเพื่อให้อเมริกันชนสามารถซื้อประกันสุขภาพและเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างทั่วถึงในราคาไม่แพง

กฎหมายปฏิรูประบบสุขภาพนี้ เป็นนโยบายต่อเนื่องมาจากอดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน แต่มาประสบความสำเร็จในสมัยของประธานาธิบดี บารัก โอบามา ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสและมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2010 แต่นโยบายหลักๆ จะมีผลบังคับใช้จริงในวันที่ 1 ม.ค. 2014 โดย ObamaCare จะขยายการเข้าถึงการประกันสุขภาพทั้งของภาครัฐและเอกชนผ่านเครื่องมือต่างๆ เช่น การคุ้มครอง กฎระเบียบ เงินอุดหนุน ภาษี ตลาดประกันสุขภาพใหม่ และการปฏิรูปอื่นๆ

ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ได้รับสวัสดิการประกันสุขภาพผ่านทางนายจ้างจากระบบประกันสุขภาพของเอกชน โดยมาจากระบบประกันกลุ่มที่บริษัทประกันเสนอให้บริษัทเอกชนต่างๆ ซื้อเพื่อคุ้มครองลูกจ้าง ในขณะที่อีก 3 กลุ่ม ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ดังนี้

1.คนชรา ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ได้รับสิทธิประโยชน์ที่เรียกว่า Medicare โดยสร้างขึ้นเพื่อจัดการกับค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่สูงมากสำหรับคนสูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขามีรายได้ที่ลดลง

2.คนยากจนที่มีรายได้น้อย ได้รับสิทธิประโยชน์ที่เรียกว่า Medicaid รวมถึงโปรแกรมประกันสุขภาพสำหรับเด็ก Children’s Health Insurance Program (CHIP) หรือ Children’s Medicaid สำหรับเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี

3.ข้าราชการบางประเภท เช่น ทหาร ผู้แทนราษฎร วุฒิสมาชิก หรือทหารผ่านศึก เป็นต้น

สำหรับบุคคลที่ไม่ได้เข้าข่ายได้รับประกันสุขภาพจากนายจ้างหรือรัฐบาลจะต้องหาซื้อประกันสุขภาพด้วยตนเอง โดยประชากรในส่วนนี้มีประมาณ 48 ล้านคน คิดเป็น 15% ของประชากรทั้งประเทศ

ผลสำรวจจาก Kaiser Family Foundation ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนในสหรัฐอเมริกาที่เน้นการทำวิจัย และเผยแพร่ข้อมูลด้านสุขภาพ ระบุว่า สาเหตุหลักของผู้ที่ไม่มีประกันสุขภาพ เนื่องจาก

1.ประกันสุขภาพมีราคาแพง : ประเทศสหรัฐอเมริกามีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพสูงที่สุดในโลก โดยในปี 2011 เท่ากับ 8,608 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมกันถึง 17.9% ของ GDP สหรัฐ ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว โดยค่าใช้จ่ายที่สูงมากนี้มาจากต้นทุนที่สูง ไม่ว่าจะเป็นค่าบุคลากรทางการแพทย์ ค่ายาตามใบสั่งแพทย์ รวมถึงค่าประกันภัยความรับผิดทางวิชาชีพของแพทย์ พยาบาล (Medical Malpractice) เพื่อปกป้องตนเองในกรณีที่ทำการรักษาผิด ซึ่งค่า Malpractice มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากผู้ป่วยบางคนพยายามหาประโยชน์จาก Malpractice ทำให้มีต้นทุนในการรักษาพยาบาลที่สูง ส่งผลให้เบี้ยประกันสุขภาพมีราคาสูงตามไปด้วย นอกจากนี้ กลไกตลาดไม่ได้เป็นตัวกำหนดแผนประกันสุขภาพที่แท้จริง แต่การกำหนดราคา บริการและขอบเขตสิทธิประโยชน์ของผู้ซื้อประกัน ขึ้นอยู่กับบริษัทประกันรายใหญ่

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว แต่ประสิทธิภาพของระบบสุขภาพกลับไม่ดีเท่าที่ควร โดยอายุขัยเฉลี่ยของประชากร (Life Expectancy at Birth) ต่ำที่สุด และอัตราการตายของทารก (Infant Mortality Rate) มากที่สุด ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว

2.ตกงานจึงไม่ได้รับประกันสุขภาพจากบริษัทเอกชน : สหรัฐอเมริกาไม่มีระบบประกันสุขภาพ ที่รับประกันสุขภาพของทุกคนเหมือนกับประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี หรือญี่ปุ่น ที่บังคับให้ประชาชนทุกคนต้องมีประกันสุขภาพ (Individual Mandate) ตามกฎหมาย โดยใช้นโยบายการเก็บภาษีสูงขึ้นหรือบังคับให้ซื้อประกัน ยกเว้นคนยากจนที่รัฐจะเข้าไปช่วยเหลือโดยตรง แต่นั่นหมายความว่าทุกคน ไม่ว่าจะรวย จน ไม่มีการศึกษา มีการศึกษา เด็ก หรือคนชรา สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างเท่าเทียมกันหมด ขณะที่บริษัทประกันในสหรัฐอเมริกาสามารถปฏิเสธการจ่ายค่ารักษาพยาบาลเมื่อไรก็ได้ และมีค่าใช้จ่ายที่ลงทุนไปกับหน่วยงานตรวจสอบประวัติผู้ซื้อประกัน เพื่อหาทางปฏิเสธการจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับลูกค้าที่ซื้อประกันสุขภาพกับตน อีกทั้งบริษัทประกันอาจเรียกเก็บค่ารักษาเพิ่มมากขึ้นจากปัญหาสุขภาพในขณะนั้น และจะเรียกเก็บมากขึ้นอีกหากคุณเป็นผู้หญิง ฉะนั้น การซื้อประกันสุขภาพของคนอเมริกันจึงมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับความคุ้มครอง

3.กลุ่มที่ไม่เป็นพนักงานบริษัทเอกชน เช่น ประกอบอาชีพอิสระ ศิลปิน ธุรกิจขนาดเล็ก เป็นต้น และกลุ่มที่มีรายได้สูงกว่าเส้นแบ่งความยากจนสำหรับสิทธิประโยชน์ Medicaid แต่ไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อประกัน

เมื่อไม่มีประกันสุขภาพ หมายความว่า อาจไม่มีสิทธิรับการรักษาทางการแพทย์ เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลมีราคาแพง โดยพบว่ามากกว่า 60% ของบุคคลล้มละลายในอเมริกา มีสาเหตุมาจากไม่สามารถจ่ายบิลค่ารักษาพยาบาลได้ และเกือบ 3/4 ของผู้ที่ล้มละลายนั้นมีประกันสุขภาพอยู่แล้ว แต่ประกันนั้นไม่ครอบคลุม ทำให้ไม่สามารถจ่ายส่วนเกินกรมธรรม์ได้

ทั้งนี้ ObamaCare จะกำจัดปัญหาเหล่านี้ไป และช่วยคนอเมริกันจากการล้มละลาย โดยให้ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาได้อย่างต่อเนื่อง ตราบเท่าที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา ไม่ใช่จนกระทั่งไม่มีเงินจ่าย โดยสำนักงบประมาณรัฐสภาคาดการณ์ว่า ในปี 2022 ObamaCare จะสามารถครอบคลุมประชาชนอเมริกันผู้ไม่มีประกันให้เข้าถึงประกันสุขภาพได้กว่า 33 ล้านคน

สำหรับบทความตอนต่อไป จะกล่าวถึงสาระสําคัญของกฎหมายปฏิรูปการประกันสุขภาพโดยสังเขป และมุมมองของ บลจ.บัวหลวง ต่อธุรกิจในอุตสาหกรรม Health Care

ข่าวล่าสุด

ขนส่ง เตือน! รถติดถุงลมนิรภัยทาคาตะ เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เช็ก-เปลี่ยนฟรี