‘ชีวิตและการเงินที่ดีขึ้นของ อ้อม สุนิสา’
ทำงานวงการบันเทิงมาหลายปีแล้วสำหรับ “สุนิสา สุขบุญสังข์” หรือ “อ้อม” ทั้งนักร้อง พิธีกร และนักจัดรายการวิทยุ (ดีเจ) งานชิ้นแรกคือ การเป็นนักร้องตั้งแต่อายุ 16 ปี จนวันนี้เธออายุ 39 ปี เรียกได้ว่าผ่านร้อนผ่านหนาวเรื่องการใช้ชีวิตและการบริหารเงินจากรายได้ที่ทำงานมานาน
ทำงานวงการบันเทิงมาหลายปีแล้วสำหรับ “สุนิสา สุขบุญสังข์” หรือ “อ้อม” ทั้งนักร้อง พิธีกร และนักจัดรายการวิทยุ (ดีเจ) งานชิ้นแรกคือ การเป็นนักร้องตั้งแต่อายุ 16 ปี จนวันนี้เธออายุ 39 ปี เรียกได้ว่าผ่านร้อนผ่านหนาวเรื่องการใช้ชีวิตและการบริหารเงินจากรายได้ที่ทำงานมานาน
“อ้อม” เป็นศิลปินอีกหนึ่งคนที่ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เลือกมาให้เป็นวิทยากรมาถ่ายทอดเรื่องราวการใช้ชีวิตและการดูแลเงินในโครงการ SET Young Generation 2013 ให้นิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ฟังกัน
“อ้อม” ออกตัวว่า ตลอดชีวิตการทำงานในวงการบันเทิงและมีรายได้เข้ามา เธอเข้าใจไปเองว่า เธอรู้ค่าของเงินเป็นอย่างดี แต่เป็นการรู้ในทางที่ผิดว่าเงินมีค่า แต่เป็นการรู้ที่ขาดปัญญาอย่างมาก ความที่ทำงานหาเงินได้ตั้งแต่อายุ 16 ปี และมองว่าตัวเองเสียความเป็นส่วนตัวไป จึงมักหาข้ออ้างในการใช้เงินให้ตัวเองว่า เรามีสิทธิในการใช้เงินแต่ละก้อนที่หามาได้
พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็มีข้ออ้างในการออกรถคันแรกและใช้เงินเพิ่มขึ้นมาก เพราะต้องเอาไปเป็นค่าใช้จ่ายมัน ทั้งๆ ที่แม่เคยเปรียบเทียบให้เธอเห็นแล้วว่า ก่อนจะขับรถเป็นรู้จักล้างรถ เติมลม ดูแลรถเป็นหรือยัง เพราะยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องดูแลรักษา และเวลาจะซื้อของอะไรก็ซื้อแบบไม่ได้คิดอะไรมาก เรียกได้ว่าซื้อแบบฟุ่มเฟือยเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า นาฬิกา หรือรองเท้า ซึ่งหลายครั้งที่ซื้อรองเท้า แต่ซื้อมาครบทุกสีในแบบเดียวกันหมดเลย
นอกจากนั้น ยังอ้างสิทธิในการใช้บัตรเครดิตรูดไปกับสิ่งต่างๆ และก็รูดไปกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ใช้เงินเป็นหมื่นๆ บาท แล้วก็อนุโลมบอกกับตัวเองว่า ใช้ไปเถอะอุตส่าห์หามาได้ และของปัจจัย 4 ที่สำคัญในชีวิตก็ต้องเป็นระดับพรีเมียมเท่านั้น ค่าโทรศัพท์ต่อเดือนเป็นหมื่นๆ ส่วนใหญ่เสียไปกับการส่งข้อความเดือนละ 2,000-3,000 ครั้ง ข้อความละ 3 บาท เพราะเวลาใครส่งข้อความมาก็มักจะต้องตอบไป “ค่ะ” กลับไปทุกครั้ง ซึ่งความจริงมันไม่มีความจำเป็นถึงขนาดนั้น
เกินค่อนชีวิตที่ใช้ค่าของเงินในทางที่ผิดมาโดยตลอด จนวันหนึ่งเมื่อ45 ปีก่อน ที่จู่ๆ รถติดบนสะพานอโศก ได้คิดว่าสรุปแล้วชีวิตเราคืออะไร คุณค่าชีวิตเราตอนนี้อยู่เพื่ออะไร ถ้าเรายังทำงานต่อไปมากๆ โดยไม่มีเวลาให้กับตัวเอง สุขภาพ เราจะหาเงินมากไปเพื่ออะไรกัน สุดท้ายมาได้ตกผลึกว่า ต่อไปนี้เราทำงานไม่ต้องมาก แต่ต้องเต็มที่กับงานทุกครั้ง มีเวลาให้กับตัวเองเยอะกว่านี้ หลังจากที่เวลาส่วนตัวจริงๆ หายไปนาน และกลับมามองว่าคุณค่าการใช้ชีวิตของตัวเองอยู่ตรงไหน อยู่ที่ให้คนอื่นมองเข้ามาหาเรา หรือเรามองคุณค่าของเราได้ด้วยตัวเอง และพบว่าเราจะเอาความประสบความสำเร็จของตัวเองให้เป็นที่ยอมรับของคนอื่น ซึ่งก็ไม่ใช่
จากนั้นชีวิตของเธอก็เริ่มปรับเปลี่ยน มองอะไรที่เป็นเหตุผลและให้ความสำคัญในการใช้เงินมากขึ้น การใช้ชีวิตเริ่มง่ายๆ ขึ้น อย่างกระเป๋าที่ยังชอบ ก็ยอมเสียเงินไปครั้งเดียวเพื่อใช้ ขึ้นอยู่ที่ความพอใจและอยากจะใช้มากกว่า ราคาหลักหมื่นหลักแสนก็ใช้ถ้ารู้สึกว่าสวยและพอใจ แต่ก็เป็นความรู้สึกเดียวกันกับกระเป๋าย่ามสะพายไม่กี่สิบบาทที่พอใจจะใช้
“เรียกได้ว่าเมื่อก่อน ไม่คิด ไม่แคร์ และไม่เคยสนใจถึงวิธีการใช้เงินเลย โชคดีที่มีแม่คอยเก็บ คอยขยับเงินในส่วนต่างๆ ให้จนวันนี้มีเงินก้อนใหญ่ได้ก็เพราะแม่ แม่คอยนำเงินไปฝากที่โน้นที่นี่ให้หมด เงินก้อนนั้นก็ปล่อยไปโดยไม่ได้เอามาใช้ หรือเรียกง่ายๆ ว่า ตอนนี้กินบุญเก่าจากเงินในอดีต ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตเรามั่นคงได้ และมองว่าตอนนี้เราสามารถเกษียณได้ก่อนอายุ 40 ปี แต่การเกษียณใช่ว่าเราจะไม่ต้องทำงาน จะไม่หาเงินต่อ แต่ทุกอย่างทำไปแต่พอดี พอใช้ และมีเวลาให้กับสุขภาพกายและใจมากขึ้น เพราะคิดว่าหากมัวนั่งทำงานหนักจนไม่มีเวลาพักก็ต้องเอาเงินที่หาได้ไปรักษาตัวแทน ซึ่งนั่นไม่คุ้ม”
ขณะเดียวกันก็ปรับชีวิตการทำงานโดยยึดแนวทางที่ว่า “ไม่หาเยอะก็จะไม่ใช้เยอะ” หรือเน้นการใช้เงินและชีวิตที่ตรงกับคำว่า “พอดี” หลายครั้งที่เราเห็นคนอื่นหรือมองตัวเราเองก็รู้สึกว่าพอมีเยอะก็รู้สึกว่าเป็นภาระมาก อะไรที่มีราคาแพงก็ไม่อยากจะใช้ เก็บไว้ที่บ้านแทน แล้วหันมาสู่ความเรียบง่ายมากขึ้น เช่น การเดินทางมาทำงานที่แกรมมี่หลายครั้งก็สะพายกระเป๋าเป้ ซึ่งพอชีวิตเราง่ายขึ้น ก็พบว่าความง่ายจะนำพาเราไปพบชีวิตที่ดีขึ้น
“อ้อม” บอกว่า ตอนนี้ถือว่ารู้จักเก็บเงินมากขึ้น พอใจกับเงินที่หามาได้ทุกวันนี้อย่างเพียงพอ เงินที่หามา พอไม่ได้ใช้ ก็เริ่มรู้สึกว่ามีความสุขกับตัวเลขทางบัญชีที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันนี้เหลืองานหลักตามประสามนุษย์เงินเดือนที่ได้จากการเป็นดีเจ หรือรับงานในสิ่งที่เราพอใจที่จะทำเท่านั้น
ปัจจุบัน “อ้อม” จะแบ่งเงินไว้เลยว่า 50% ฝากเงินไว้กับธนาคาร มีไปลงทนในหุ้นบ้าง ซึ่งก็ยังขาดทุนอยู่ พอให้รู้ว่าการลงทุนเป็นอย่างไร ซึ่งอาจเป็นเพราะเราฟังเจ้าหน้าที่การตลาดมากเกินไป พอให้ซื้อก็ซื้อให้เรา แต่พอบอกให้ขายที่ราคาเท่านี้ ก็จะมาบอกว่าขายไม่ทัน ลืมบ้าง จนเราขาดทุน และก็ลงทุนไปกับการซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (RMF) ก็เพื่อไว้ลดหย่อนการเสียภาษี ซึ่งรายได้ทั้งปีต้องจ่ายภาษีประมาณ 10% ขณะที่เหลือ 40% แบ่งเป็นอย่างละ 20% ให้แม่ และอีก 20% แบ่งไว้สำหรับทำบุญ
“ตอนนี้เรามองอะไรเปลี่ยนไปเยอะ อย่างการลงทุนในหุ้น พอไม่นึกถึงก็ไม่ต้องไปเจ็บหรือไปเครียดกับมันมาก มองนาฬิกาหลายเรือนที่หายพร้อมเงินที่หยอดกระปุกไว้บนห้องนอนเมื่อปีก่อนโจรขึ้นบ้าน ก็เจ็บใจ ก็เสียดาย แต่พอทุกอย่างหายไปแล้วเราทำอะไรบ้าง กลับทำให้เรามองว่า ชีวิตมันก็แค่นี้ ก่อนหน้านี้เรามีเยอะ ก็ห่วงเยอะ ภาระเยอะ ตอนนี้เข้าใจชีวิตเยอะ และใช้เงินที่ได้มาอย่างมีคุณค่ามากขึ้น” อ้อม กล่าวทิ้งท้าย
ทุกวันนี้ เธอยังคงมีอาชีพเป็นดีเจที่ยังมีเงินเดือนประจำ มีความสุขกับการหาหนังสืออ่านไปอ่านที่ร้านกาแฟต่างๆ และเลือกทำงานที่รักและที่ชอบ เพราะตอนนี้เธอรู้จักกับคำว่า “ชีวิตที่พอดี”


