หนังไทยโดนใจเพื่อนบ้าน ขาเข้ายังติดกำแพง 'ทัศนคติ'
พูดกันมากในระยะหลังว่า “หนังไทย” กำลังโกอินเตอร์ หลังจากออกไปโกยเงินในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
โดย...อัฏฐวรรณ ลวณางกูร
พูดกันมากในระยะหลังว่า “หนังไทย” กำลังโกอินเตอร์ หลังจากออกไปโกยเงินในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และดาราไทยก็เป็นที่ปลาบปลื้มของเหล่าแฟนคลับต่างชาติ ไม่แพ้แฟนคลับในบ้าน
โดยเฉพาะตลาดอาเซียน ซึ่งหนังไทยมีศักยภาพมากที่จะออกไปเติบโต แต่ในทางกลับกัน หนังเพื่อนบ้านยังไม่ได้รับความสนใจมากนักจากคนไทย เนื่องจากยังไม่เปิดกำแพงทัศนคติ จึงมีเพียงหนังฮอลลีวู้ดและหนังไทยที่จับจองพื้นที่ในใจคอหนังบ้านเรา
ปรัชญา ปิ่นแก้ว ผู้กำกับภาพยนตร์ และผู้บริหารบริษัท บาแรมยู กล่าวในเวทีเสวนา “การเปิดเสรีในอุตสาหกรรมหนัง และแนวโน้มความร่วมมือในธุรกิจหนังของกลุ่มประเทศอาเซียน” ว่า หนังไทยออกไปฉายในอาเซียนมากกว่าหนังจากเพื่อนบ้านเข้ามาฉายในบ้านเรา เพราะตลาดคนดูแคบ ทำให้ฉายได้ในวงแคบๆ ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจาก “ทัศนคติ” เหมือนกรณีของหนังไทยที่พยายามโกอินเตอร์ไปฮอลลีวู้ด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่หนังไทยจะขายได้ เพราะทัศนคติของฮอลลีวู้ดยังไม่ยอมรับไทย หรือหากขายได้ก็ถูกนำไปรีเมกอย่างเรื่องชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ
ผิดกับประเทศที่ฮอลลีวู้ดยอมรับอย่างญี่ปุ่นที่มีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี นักแสดงญี่ปุ่นมักได้รับบทนักธุรกิจหรือยากูซ่า ที่ต้องมีบารมีมากพอข่มพระเอกได้ หรือดาราฮ่องกงที่สามารถเล่นประกบดาราฮอลลีวู้ดได้สมศักดิ์ศรี เช่นเดียวกับดาราเกาหลี ส่วนอินเดียเก่งด้านคอมพิวเตอร์ก็มักรับบทเหล่านี้ ขณะที่นักแสดงจากตะวันออกกลางก็จะถูกวางตัวให้เล่นบทร้าย ซึ่งสะท้อนทัศนคติของฮอลลีวู้ดเทียบเคียงกับคอหนังคนไทยที่มีทัศนคติต่อหนังเพื่อนบ้าน แม้จะมีหนังดีที่สุดมาฉาย แต่หากไม่ยอมรับก็ไม่ดู หรือดูแบบมีอคติ
“ในระดับนโยบายน่าจะริเริ่มให้คนฝีมือดีๆ ทำหนังมาฉายฟรีในประเทศเพื่อนบ้านแลกเปลี่ยนกัน ทำให้คนอยากดูและอยากไปเที่ยวตามรอยหนังเรื่องต่างๆ จนกลายเป็นความเคยชิน และช่วยให้อาเซียนรวมตัวกันได้ไม่ยาก เพราะภาพยนตร์เป็นสื่อที่ได้ผลมากที่สุด”
ภาณุ อารี ผู้กำกับภาพยนตร์สารคดี และพนักงานฝ่ายจัดซื้อ บริษัท สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล มองว่า การสร้างตลาดรวมในอาเซียน อาจต้องปรับเปลี่ยนความคิดว่าจะใช้อะไรเป็นตัวนำ หากใช้วัฒนธรรมก็อาจไม่ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าปล่อยให้ตลาดขับเคลื่อนเอง อาจเกิดปรากฏการณ์ใหม่ๆ เช่น กระแสฟีเวอร์มาริโอ้ เมาเร่อ จนทำให้คนฟิลิปปินส์อยากเรียนภาษาไทย และการที่หนังไทยเรื่องก่อนๆ ประสบความสำเร็จก็ส่งผลให้หนังใหม่ๆ เป็นที่ต้องการในตลาดเพื่อนบ้าน
ปัจจุบันหนังไทยออกไปอาเซียนมากกว่าขาเข้า เพราะตลาดหนังเมืองไทยถูกครอบงำด้วยหนังไทยและหนังภาษาอังกฤษ ไม่มีที่ให้หนังภาษาอื่นๆ โดยวัยรุ่นเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลในตลาดหนัง เนื่องจากโรงหนังแบบสแตนด์อะโลนที่เคยเป็นพื้นที่ของชาวบ้านหายไป โรงหนังปรับเข้าไปอยู่ในห้างซึ่งเป็นพื้นที่ของวัยรุ่น และนี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอาเซียนเหมือนกัน ประกอบกับยุคสื่อสังคมออนไลน์ทำให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น รสนิยมวัยรุ่นจึงคล้ายๆ กัน เมื่อหนังไทยมีความก้าวหน้ากว่าจึงเป็นที่สนใจของเพื่อนบ้านขณะที่วัยรุ่นไทยไม่สนใจรอบบ้าน เพราะไม่มีอะไรใหม่ๆที่ดึงดูดใจ รวมทั้งความรู้สึกชาตินิยม ทำให้คนไทยไม่ยอมรับคนอื่น
“การทำหนังฉายในอาเซียน เราต้องไม่พยายามพูดว่าเป็นหนังของประเทศไหน เพราะการสร้างความเป็นชาติให้หนัง บางครั้งเป็นจุดอ่อน จึงต้องตั้งคำถามว่าจำเป็นไหม และอาจมีความร่วมมือมากขึ้น โมเดลที่น่าสนใจคือ หนังเรื่องผ้าพันคอแดงระหว่างไทยและลาว ซึ่งเป็นหนังผีที่ไม่มีความเป็นชาติ เพราะหนังผีเป็นจุดร่วมในอาเซียน ทำให้คนในแถบนี้มีความรู้สึกร่วมกัน ในแง่ธุรกิจอาจต้องสลายความเป็นชาติออกไปจากหนัง อาจทำให้อาเซียนเปิดรับกันมากขึ้น”
เกรียงศักดิ์ ศิลากอง ผู้อำนวยการเทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพฯ บอกว่า ไทยส่งออกหนังไปเพื่อนบ้านมากขึ้น และหนังเพื่อนบ้านที่น่าดูก็มีมากขึ้น แต่ในความเป็นจริง คือ คนในอาเซียนยังไม่ค่อยดูหนังของเพื่อนบ้าน ซึ่งการจะเปิดใจรับก็ต้องมีจุดเริ่มจากหนังเรื่องที่ 1 เรื่อง 2 และ 3 โดยนายทุนเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางหนัง และทำให้เกิดกระแส นายทุนจึงต้องมีส่วนร่วมส่งเสริมให้คนไทยดูหนังเพื่อนบ้านด้วย นอกเหนือจากการส่งออกไปนอกบ้าน เพราะอุตสาหกรรมหนังของไทยมีความแข็งแกร่งมาก สร้างหนังปีละกว่า 40 เรื่อง จนทำให้ได้รับความสนใจจากเพื่อนบ้านทั้งในและนอกอาเซียน


