บทบาทหน้าที่กรรมการบริษัทจดทะเบียนและบริษัทย่อย (ตอน 2)
(3) กฎหมายได้กำหนดขยายความการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการเกี่ยวกับหน้าที่และความรับผิดชอบของบริษัทจำกัดเพิ่มเติมไปจากมาตรา 85 ของ พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด และมาตรา 1168 แห่ง ป.พ.พ. โดยถือว่าหลักเกณฑ์ในมาตรา 85 ของ พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด หรือมาตรา 1168 ป.พ.พ. เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไป ทั้งนี้ บทบัญญัติตั้งแต่มาตรา 89/1 จนถึงมาตรา 89/25 ได้กำหนดบทบาทหน้าที่ของกรรมการ โดยกำหนดให้กรรมการและผู้บริหารและบุคคลตาม (1) ข้างต้น จะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบความระมัดระวังและความซื่อสัตย์สุจริต รวมทั้งต้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ข้อบังคับ ของบริษัท และมติของคณะกรรมการ ตลอดจนมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นของทั้งในบริษัทจดทะเบียนและบริษัทย่อย (มาตรา 89/7) ทั้งนี้ ได้มีการเพิ่มเรื่องที่ต้องปฏิบัติตามมติกรรมการมาด้วย
(3) กฎหมายได้กำหนดขยายความการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการเกี่ยวกับหน้าที่และความรับผิดชอบของบริษัทจำกัดเพิ่มเติมไปจากมาตรา 85 ของ พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด และมาตรา 1168 แห่ง ป.พ.พ. โดยถือว่าหลักเกณฑ์ในมาตรา 85 ของ พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด หรือมาตรา 1168 ป.พ.พ. เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไป ทั้งนี้ บทบัญญัติตั้งแต่มาตรา 89/1 จนถึงมาตรา 89/25 ได้กำหนดบทบาทหน้าที่ของกรรมการ โดยกำหนดให้กรรมการและผู้บริหารและบุคคลตาม (1) ข้างต้น จะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบความระมัดระวังและความซื่อสัตย์สุจริต รวมทั้งต้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ข้อบังคับ ของบริษัท และมติของคณะกรรมการ ตลอดจนมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นของทั้งในบริษัทจดทะเบียนและบริษัทย่อย (มาตรา 89/7) ทั้งนี้ ได้มีการเพิ่มเรื่องที่ต้องปฏิบัติตามมติกรรมการมาด้วย
(4) กฎหมายได้วางกรอบหลักเกณฑ์ความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริตไว้ 2 ส่วน (มาตรา 89/8 และมาตรา 89/9) โดยหน้าที่ความรับผิดชอบและความระมัดระวังได้วางกฎเกณฑ์ว่า หากกรรมการใดปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง (Duty of Care) ตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดแล้ว ก็ถือได้ว่ากรรมการได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบและความระมัดระวังแล้ว กรรมการและผู้บริหารที่ต้องรับผิดชอบไม่ต้องรับผิดชอบจากการปฏิบัติหน้าที่หรือการตัดสินใจหรือสามารถอ้างเพื่อต่อสู้คดีหากมีการฟ้องร้องกรรมการหรือผู้บริหารจากผู้ถือหุ้นหรือจากบริษัท ซึ่งต่างกับ พ.ร.บ.บริษัทมหาชน และ ป.พ.พ. ว่าด้วยหุ้นส่วนของบริษัทที่ไม่มีข้อกำหนดเช่นว่านั้น แต่ผมเห็นว่าหากกรรมการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายนี้ ศาลก็ควรจะนำหลักเกณฑ์เดียวกันมาพิจารณาถึงขอบเขตความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง ของกรรมการตามกฎหมายอื่นด้วยเช่นกัน โดยแยกพิจารณาดังนี้
4.1 ความรับผิดชอบและความระมัดระวังนั้น กรรมการจะกระทำ “เยี่ยงวิญญูชน ผู้ประกอบธุรกิจนั้นจะพึงกระทำภายใต้สถานการณ์อย่างเดียวกัน”
มีคำถามว่า “เยี่ยงวิญญูชน ผู้ประกอบธุรกิจนั้นพึงจะกระทำภายใต้สถานการณ์เช่นว่านั้น” หมายถึงอะไร หากเทียบเคียงกันกับมาตรา 1168 ป.พ.พ. ที่กำหนดว่ากรรมการต้องใช้ความเอื้อเฟื้อสอดส่องอย่างบุคคลผู้ประกอบธุรกิจด้วยความระมัดระวังก็น่าจะพอเทียบเคียงได้
ในพจนานุกรมได้กำหนด “วิญญูชน” ไว้ว่า หมายถึง “บุคคลรู้ผิดรู้ชอบตามปกติ โดยจะต้องคำนึงถึงพฤติการณ์แห่งตัวบุคคลของผู้กระทำของเพศ วัย ความรู้ ประสบการณ์ ประกอบด้วยพฤติการณ์แวดล้อมและกระทำการด้วย” ดังนั้น มาตรฐานวิญญูชนของธุรกิจอาจแตกต่างกันได้ เช่น หากเป็นสถาบันการเงินมาตรฐานก็อาจจะแตกต่างไปจากบริษัทธรรมดาได้ โดยกรรมการหรือผู้บริหารจะต้องพิสูจน์ได้ว่า การกระทำเยี่ยงวิญญูชนจะพึงกระทำในสถานการณ์อย่างเดียวกันนั้นด้วย นอกจากนี้ กฎหมายหลักทรัพย์ยังได้นำเอาหลักการใหม่ที่เรียกว่า “Business Judge Rule” หรือหลักการตัดสินทางธุรกิจของต่างประเทศมาใช้เป็นหลักเกณฑ์ที่ว่าหากได้พิจารณาเรื่องใดๆ ถ้ากระทำการตัดสินใจที่มีลักษณะดังต่อไปนี้แล้ว ก็ให้ถือว่ากรรมการได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบและระมัดระวังแล้ว
หลักกฎหมายที่มีความสำคัญมาก 3 เรื่อง และน่าจะมีผลต่อไปเกี่ยวกับเรื่องเจตนาพิเศษในทางกฎหมายอาญาด้วยการศึกษาหลักกฎหมายนี้จึงจำเป็นต้องศึกษาจากแนวทางศาลต่างประเทศเป็นสำคัญ โดยผมจะได้ยกตัวอย่างในภายหลัง
(1) การตัดสินใจนั้นได้กระทำไปโดยความเชื่อโดยสุจริตและสมเหตุผลว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทเป็นสำคัญ
(2) การตัดสินใจได้กระทำบนพื้นฐานของข้อมูลที่เชื่อโดยสุจริตว่าเพียงพอ และ
(3) การตัดสินใจนั้นตนไม่มีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในเรื่องที่ตัดสินใจนั้น n
(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)


