กฏหมายเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน
มีผู้อ่านสอบถามมาเกี่ยวกับสัญญากู้ยืมว่า สัญญากู้ยืมหรือสัญญากู้ยืมเงิน กฎหมายบัญญัติว่าต้องมีหลักฐานการกู้ยืมและหลักฐานการชำระหนี้เป็นหนังสือ อัตราดอกเบี้ยว่าจะคิดดอกเบี้ยอย่างสูงได้เท่าไร คิดดอกเบี้ยทบต้นได้หรือไม่ ทนายคลายทุกข์ขอนำความรู้เกี่ยวกับกฎหมายการกู้ยืมเงินมานำเสนอดังต่อไปนี้
มีผู้อ่านสอบถามมาเกี่ยวกับสัญญากู้ยืมว่า สัญญากู้ยืมหรือสัญญากู้ยืมเงิน กฎหมายบัญญัติว่าต้องมีหลักฐานการกู้ยืมและหลักฐานการชำระหนี้เป็นหนังสือ อัตราดอกเบี้ยว่าจะคิดดอกเบี้ยอย่างสูงได้เท่าไร คิดดอกเบี้ยทบต้นได้หรือไม่ ทนายคลายทุกข์ขอนำความรู้เกี่ยวกับกฎหมายการกู้ยืมเงินมานำเสนอดังต่อไปนี้
1.กรณีที่ไม่ใช่กู้ยืมเงิน มีสัญญาหลายชนิดที่คู่สัญญามีการกระทำหรือมีหน้าที่ต่อกันคล้ายสัญญากู้ยืมเงิน แต่ไม่ใช่สัญญากู้ยืมเงิน จึงนำบทบัญญัติเรื่องยืมไปใช้บังคับไม่ได้ เช่น
ยืมเงินทดรอง
สัญญาเล่นแชร์เปียหวย
ตัวแทนออกเงินทดรอง
มอบเงินให้ไปดำเนินกิจการร่วมกัน
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชี
สัญญาบัตรเครดิต
2.การส่งมอบเงินที่ยืมถือเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงเจตนา หลักประการสำคัญของการกู้ยืมเงินประการหนึ่งคือ ต้องมีการส่งมอบเงินที่กู้ยืม สัญญากู้ยืมเงินจึงจะบริบูรณ์หรือสมบูรณ์ เป็นไปตาม ป.พ.พ.มาตรา 650 วรรคสอง
3.หลักฐานแห่งการกู้ยืมมาตรา 653 บัญญัติว่า “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่” มีหลักต้องพิจารณา 4 ประการ
ต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ
ผู้กู้ต้องลงลายมือชื่อในหนังสือนั้น
หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือจะต้องมีเมื่อใด
การกู้ยืมที่ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือยกขึ้นฟ้องหรือต่อสู้คดีไม่ได้
4.การกรอกข้อความแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมในสัญญากู้ยืมเงิน
1.แก้ไขจำนวนเงินในขณะที่เขียนสัญญากู้ ในกรณีที่มีการแก้ไขตัวเลขจำนวนเงินในขณะเขียนสัญญากู้ แม้ผู้กู้จะไม่ได้ลงชื่อกำกับก็ใช้ได้ เพราะถือว่าเป็นเจตนากู้ยืมกันครั้งเดียวตามจำนวนที่แก้ไขแล้ว ลงชื่อไว้ท้ายสัญญาแห่งเดียวก็พอ
2.แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้เดิมเมื่อมีการกู้ยืมครั้งใหม่ หลังจากทำสัญญากู้จนเสร็จสมบูรณ์แล้วต่อมาผู้กู้ขอกู้เพิ่มเติม คู่กรณีไม่ทำสัญญาฉบับใหม่ แต่ใช้วิธีเปลี่ยนจำนวนเงินกู้ในสัญญาฉบับเก่า ถือว่าการกู้ครั้งใหม่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ผู้กู้รับผิดเฉพาะแต่การกู้ครั้งแรกเท่านั้น
3.แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้ให้สูงขึ้นโดยผู้กู้ไม่ยินยอม เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม จำเลยไม่ต้องรับผิดตามสัญญากู้ปลอม
4.สัญญากู้ไม่ได้กรอกจำนวนเงินไว้
ผู้ให้กู้กรอกจำนวนเงินสูงกว่าที่กู้จริง บางครั้งผู้กู้เพียงแต่ลงชื่อเป็นผู้กู้ในแบบพิมพ์สัญญากู้ ซึ่งไม่มีการกรอกจำนวนเงิน เมื่อผู้ให้กู้จะฟ้องคดีจึงกรอกข้อความระบุจำนวนเงินที่กู้สูงกว่าที่กู้จริง
ผู้ให้กู้กรอกจำนวนเงินตามที่กู้จริง ถ้าทำสัญญากู้กันโดยผู้กู้ลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้ที่ไม่ได้กรอกข้อความ ต่อมาเมื่อผู้กู้ไม่ชำระหนี้ ผู้ให้กู้จึงกรอกข้อความและจำนวนเงินตามความเป็นจริงที่ตกลงกัน ดังนี้สัญญากู้ดังกล่าวใช้บังคับได้
5.กรณีที่กู้ยืมเพียงครั้งเดียวแต่ผู้กู้ลงชื่อไว้ในสัญญากู้ 2 ฉบับ ประโยชน์ที่ผู้ให้กู้ได้รับมากเกินสมควร เป็นการที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นโมฆะ
5.ดอกเบี้ยที่เรียกกันได้ตามกฎหมาย สัญญากู้ยืมเงินเป็นนิติกรรม 2 ฝ่าย เกิดขึ้นด้วยการแสดงเจตนาตรงกันของคู่สัญญา ดังนั้นคู่สัญญาจะตกลงกันว่าจะคิดดอกเบี้ยต่อกันหรือไม่ก็ได้ ถ้าตกลงว่าจะคิดดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยที่ตกลงรวมทั้งวิธีการคิดดอกเบี้ยทบต้น ต้องไม่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ.มาตรา 654 และมาตรา 655 ข้อตกลงนั้นจึงจะใช้บังคับได้ ผู้กู้มีหน้าที่ต้องเสียดอกเบี้ยตามที่ตกลงไว้ ในเรื่องดอกเบี้ยนี้มีปัญหาที่สมควรพิจารณาอยู่ 4 กรณี คือ
1.ดอกเบี้ยที่กำหนดโดยกฎหมาย
2.ดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด มาตรา 654 บัญญัติว่า “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้นก็ให้ลดลงเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี”
ดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เป็นโมฆะทั้งหมด แต่เงินต้นสมบูรณ์
ผู้ให้กู้คิดดอกเบี้ยล่วงหน้าแล้วนำไปรวมกับเงินต้นในสัญญากู้
ผู้กู้ชำระดอกเบี้ยที่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไปแล้วจะเรียกคืนไม่ได้
ผู้ให้กู้ยังมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเพราะเหตุผิดนัด
3.ดอกเบี้ยกรณีผู้ให้กู้เป็นสถาบันการเงิน
สัญญาระบุให้ผู้ให้กู้ปรับอัตราดอกเบี้ยได้
เมื่อเลิกสัญญาแล้ว ผู้ให้กู้ไม่มีสิทธิปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย
การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นเบี้ยปรับหรือไม่
4.ดอกเบี้ยทบต้น มาตรา 655 วรรคหนึ่ง บัญญัติ “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยที่ค้างชำระ”
แต่ทว่าเมื่อดอกเบี้ยค้างชำระไม่น้อยกว่าปีหนึ่งคู่สัญญากู้ยืมเงินจะตกลงกันให้เอาดอกเบี้ยนั้นทบเข้ากับต้นเงินแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนที่ทบเข้ากันนั้นก็ได้


