posttoday

ไปทำ ‘Work Shop’ ให้พม่าที่เมืองเนย์ปิดอว์ (1)

24 ธันวาคม 2555

เมื่อต้นเดือน ต.ค. 2012 ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้รับเชิญจากหน่วยงานที่มีชื่อว่า “Economic Research Institute for ASEAN and East Asia (ERIA)” อันเป็นส่วนหนึ่งของสำนักงานเลขาธิการอาเซียน (ASEAN Secretariat) ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย ในการเป็นผู้นำในการทำ “Work Shop” ให้แก่หน่วยงานในพม่า

เมื่อต้นเดือน ต.ค. 2012 ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้รับเชิญจากหน่วยงานที่มีชื่อว่า “Economic Research Institute for ASEAN and East Asia (ERIA)” อันเป็นส่วนหนึ่งของสำนักงานเลขาธิการอาเซียน (ASEAN Secretariat) ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย ในการเป็นผู้นำในการทำ “Work Shop” ให้แก่หน่วยงานในพม่า

โครงการดังกล่าวมีชื่อเรียกเฉพาะในครั้งนี้ว่า “ERIA Capacity Building Program, Nay Pyi Taw Seminar and Workshop 2012 : Globalization and Development Strategy in Myanmar toward ASEAN Economic Integration” ที่จัดขึ้นในเมืองหลวงใหม่ของ “แผ่นดินโสร่ง” ที่ตั้งอยู่ห่างจากนครย่างกุ้งอันเป็นเมืองหลวงเดิมประมาณ 300 กว่ากิโลเมตร

ผู้เขียนออกเดินทางจากกรุงเทพฯ โดยสนามบินสุวรรณภูมิ ราวๆเที่ยงของวันเสาร์ที่ 29 ก.ย. 2012 โดยต้องค้างคืนที่ย่างกุ้ง 1 คืน ด้วยระยะเวลาเดินทางเพียงประมาณ 1 ชั่วโมงเล็กน้อย โดยเที่ยวบิน “TG” ของไทย

โรงแรมที่ไปพักแรมในย่างกุ้งนั้น ผู้ลงทุนคือ นักธุรกิจจากเมือง “ลอดช่อง” ที่ “ดอด” เข้าไปลงทุนในพม่ามาหลายปีดีดักแล้ว

จำได้ว่า โรงแรมดังกล่าว ผู้เขียนเคยไปพักครั้งสุดท้ายเมื่อ 4 ปีก่อน ต่างกันเพียงว่าราคาโรงแรมดังกล่าวในปัจจุบัน ถูกปรับขึ้นไปจากเดิมไม่ต่ำกว่าหนึ่งเท่าตัว ทั้งๆ ที่โรงแรมได้ “เก่า” ลงถึง 4 ปี

ปัจจุบันปัญหาโรงแรมสำหรับชาวต่างชาติ ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ในแดนโสร่งที่กำลังเนื้อหอมฟุ้งกระจายไปทั่วโลก เพราะทั้งแพง ทั้งหายากเป็นอย่างยิ่ง สร้างความปวดหัวแก่แขกต่างถิ่นผู้มาเยี่ยมเยือนแดนโสร่งมิใช่น้อย

โรงแรมที่ตั้งอยู่ใจกลางนครย่างกุ้งดังกล่าว ยังรายล้อมไปด้วยที่อยู่อาศัยของชาวพม่าที่ปรากฏความทรุดโทรมและซอมซ่อให้เห็นอย่างชัดเจน

รุ่งขึ้นวันอาทิตย์ที่ตรงกับวันที่ 30 ก.ย. ผู้เขียนโดยการนำของนักวิจัยชาวญี่ปุ่นที่ร่วมมาในโครงการสัมมนาและ “Work Shop” เกี่ยวกับ “Capacity Building” ให้แก่พม่าครั้งนี้ด้วยกัน ที่เคยมาวิจัยและอาศัยในย่างกุ้งถึงสองปีในช่วงก่อนหน้านี้ ก็มีโอกาสไปเยี่ยมชม “Super Market” สมัยใหม่ที่มีเพียงไม่กี่แห่งในอดีตเมืองหลวงอันเป็นเมืองที่เจริญที่สุดของพม่าแห่งนี้

ซูเปอร์มาร์เก็ตดังกล่าว จำหน่ายสินค้าหลากหลายที่จำนวนมากได้จากการ “ลักลอบ” นำเข้ามาจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจากไทย จีน เกาหลีใต้ ฯลฯ ทำให้สนนราคาของสินค้าไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับสินค้าชนิดเดียวกันที่ขายอยู่ในไทย เพียงแต่ว่าสินค้าบางอย่างที่เห็นอาจมีสภาพ “ชำรุด” ตัวอย่างเช่น เครื่องดื่มบรรจุกระป๋อง อาจมีกระป๋องที่บุบหรือบิดเบี้ยว เพราะถูกขนส่งโดยรถบรรทุก ที่ต้องฝ่าความวิบากของถนนหนทางที่ขาดแคลนและขาดการพัฒนามาอย่างยาวไกล กว่าที่จะมาปรากฏยังซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้

ก่อนเที่ยงเล็กน้อย ผู้เขียนมีโอกาสลองชิมอาหารจำพวก “ก๋วยเตี๋ยว” น้ำในร้านซูเปอร์มาร์เก็ตดังกล่าว ซึ่งเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำไก่ที่มีชามค่อนข้างใหญ่ แต่สนนราคาก็นับว่า “ไม่เบา” เมื่อเทียบกับรายได้ของชาวพม่าเอง เพราะมีราคาถึงชามละร่วม 100 บาท ซึ่งเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันๆ เลยทีเดียว (เท่าที่สอบถาม ค่าแรงขั้นต่ำที่นั่นตกวันละ 23 เหรียญสหรัฐ)

หลังเสร็จสรรพจากมื้อเที่ยง คณะของเราที่ประกอบด้วยนักวิจัยและ “วิทยากร” จากหลายชาติ ก็ออกเดินทางโดย “มินิบัส” มุ่งสู่เมืองหลวง “เนย์ปิดอว์” เพราะการจองเครื่องบิน นอกจากจะจองได้ยากแล้ว ยังมีปัญหาความตรงเวลาของสายการบินท้องถิ่น ที่มัก “ดีเลย์” อยู่บ่อยๆ และครั้งละหลายๆ ชั่วโมง ทำให้ต้องเดินทางช้ากว่ากำหนดด้วยระยะเวลาที่ยาวกว่าที่ใช้นั่งเครื่องบินหลายต่อหลายเท่าตัว

เส้นทาง “ด่วน” ที่เชื่อมย่างกุ้งกับเนย์ปิดอว์มีระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร นับจากจุดตั้งต้นที่เป็นด่านเก็บเงินของทางถนนดังกล่าว

แต่การเดินทางจากใจกลางนครย่างกุ้งที่ผ่านบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของชาวพม่า ในอดีตเมืองหลวงดังกล่าวที่ยังปรากฏความเขียวชอุ่มให้เห็นอย่างชัดเจน ต้องใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะเดินทางไปถึงจุดตั้งต้นของด่านเก็บเงิน ต้นทางของถนนที่มุ่งสู่เมืองเนย์ปิดอว์ทางด้านเหนือของนครย่างกุ้งดังกล่าว

ถนนดังกล่าว แม้ว่าเพิ่งเปิดใช้ไม่นานมานี้ เพราะเป็นทางสร้างใหม่ แต่ก็มีสภาพค่อนข้างแคบและขรุขระ ทำให้รถคันโตๆ หน่อยวิ่งไปได้ค่อนข้างช้า จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมระยะทางเพียง 300 กิโลเมตรเล็กน้อย จึงต้องใช้เวลาเดินทางไม่ต่ำกว่า 45 ชั่วโมง และถ้าเป็นรถคันโตหน่อย เช่น รถบัสโดยสาร หรือรถบรรทุก ก็ต้องใช้เวลายาวนานกว่านั้น

สองข้างทางของถนนที่แยกเป็นถนนแบบ “OneWay” เป็นทุ่งนาที่กว้างขวางสุดสายตา และบางแห่งมีสภาพเหมือน “ทะเลข้าว” ที่กำลังเรืองรองไปด้วยรวงข้าวที่รอเก็บเกี่ยวในไม่ช้าไม่นานข้างหน้านี้ นานๆ จึงจะมีกระท่อมทับ หรือ “เถียงนา” ของชาวบ้านให้เห็นบ้าง

รถมินิบัสซึ่งเป็นพาหนะของเราใช้เวลาเดินทางบนถนนที่แม้จะออกแบบเป็น “ทางด่วน” แบบเก็บเงินผู้ใช้ถนน แต่บ่อยครั้งก็ยังมีวัวควาย หรือสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านมาเดินบนถนนเป็น “เพื่อน” ด้วย เพราะถนนไม่ได้ถูกกั้นด้วยรั้วหรือเครื่องกีดขวาง บนถนนที่ออกแบบมาเพื่อเก็บเงินเจ้าของยวดยานผู้ใช้ถนน และใช้เวลาเดินทางอยู่เกือบ3 ชั่วโมง จึงได้จอดแวะที่พักระหว่างทางที่มีเพียงแห่งเดียวบนถนนที่มีความยาวกว่า 300 กิโลเมตร ดังกล่าว เพื่อที่ผู้โดยสารจะมีโอกาสลงจากรถไปยืดเส้นยืดสายและเข้าห้องน้ำ หรือหาเครื่องดื่มอาหารว่างรับประทาน ก่อนที่เดินทางถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องใช้เวลาอีกเกือบหนึ่งเท่าตัวของเวลาที่ใช้เดินทางมาแล้ว

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025