กรุงศรีโกลด์ลิงค์ชูเงินต้นอยู่
ลงทุน18เดือนลุ้นรับ29%ผลตอบแทนอิงราคาทองพุ่ง
ลงทุน18เดือนลุ้นรับ29%ผลตอบแทนอิงราคาทองพุ่ง
บลจ.กรุงศรี ออกกองทุนกรุงศรีโกลด์ลิงค์คอมเพล็กซ์รีเทิร์น 18M1 ลงทุน 18 เดือนเงินต้นไม่หาย ผลตอบแทนอ้างอิงราคาทองพุ่ง ลุ้นรับสูงสุด 29.99%
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมกับธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) เสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีโกลด์ลิงค์คอมเพล็กซ์รีเทิร์น 18M1 (KFGLCR18M1) เพื่อสร้างโอกาสหาผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนสูงสุดถึง 29.99% เมื่อครบ 18 เดือน อ้างอิงผลตอบแทนจากการปรับตัวของราคาทองคำ
กองทุนมีนโยบายนำเงินลงทุนประมาณ 95% ไปลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศที่อยู่ในระดับสามารถลงทุนได้ และอีก 5% ลงทุนในออปชันที่ให้ผลตอบแทนในอัตราระหว่าง 029.99% ของเงินต้น โดยผู้ลงทุนจะได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อครบอายุกองทุน 18 เดือน และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนส่วนเพิ่มระหว่าง 029.99% อ้างอิงจากการเปลี่ยนแปลงราคาของหน่วยลงทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุนอีทีเอฟที่ลงทุนในทองคำ
“กองทุนนี้เหมาะกับผู้ที่ยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่ต้องการผลตอบแทนที่ดีกว่าฝากเงินธนาคารและนักลงทุนที่มีมุมมองว่าราคาทองคำน่าจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่ไม่เกิน 25% ภายใน 18 เดือนข้างหน้า และไม่ต้องการขาดทุนหากราคาทองคำปรับลดลง” นายฉัตรพี กล่าว
อย่างไรก็ตาม หากมีวันใดในระหว่างอายุกองทุนที่ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 25% ขึ้นไป ผู้ลงทุนยังคงได้รับผลตอบแทน 4.50% ต่อ 18 เดือน ทั้งนี้กองทุนได้ทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินเต็มจำนวนในส่วนของการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศทั้งหมดของกองทุน
กองทุนจะเสนอขายครั้งเดียวระหว่างวันที่ 5-13 ก.ย. 2554 ลงทุนขั้นต่ำ 1 หมื่นบาท
นายชลธี พรโรจนางกูร ผู้อำนวยการอาวุโส แผนกบริหารการเงินและการลงทุน ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ในฐานะผู้ร่วมจัดจำหน่าย กล่าวว่า กองทุนนี้จะสามารถตอบสนองความต้องการแก่ลูกค้าของธนาคารได้ เนื่องจากทองคำเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่นักลงทุนรู้จักเป็นอย่างดี
ปัจจุบัน ทองคำยังได้อานิสงส์จากปัจจัยบวกหลายประการส่งผลให้แนวโน้มราคาทองคำยังปรับตัวสูงขึ้น เพราะเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย โดยเฉพาะในช่วงที่มีเหตุการณ์ที่ส่งผลลบต่อเศรษฐกิจ อีกทั้งยังใช้รับมือกับเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นทั่วโลกและความต้องการทองคำยังมีสูงจากประเทศอินเดียและจีนที่เศรษฐกิจเติบโตรวดเร็ว


