อยากซื้อ-อยากขาย ใช้บริการ..งานประมุล
เคยคิดบ้างไหมว่า แจกันใบเก่าๆ ที่ฝุ่นเกาะมาตั้งแต่คุณแม่ยังสาวจะมีราคาสักเท่าไร
เคยคิดบ้างไหมว่า แจกันใบเก่าๆ ที่ฝุ่นเกาะมาตั้งแต่คุณแม่ยังสาวจะมีราคาสักเท่าไร
โดย..สวลี ตันกุลรัตน์
หรือนาฬิกาพกที่คุณปู่เก็บจนลืมอยู่ในตู้เสื้อผ้าใบเก่า จะขายได้สักกี่บาท หรือขวดยานัตถุ์ สุดรักสุดหวงของคุณย่า จะมีมูลค่าเท่าไร
ของโบราณเก่าเก็บแบบนี้อาจจะดูเหมือนไม่มีราคา แต่เชื่อหรือไม่ว่า เมื่อ 5 ปีที่แล้ว มีคนไทยขายแจกันจีนได้ถึง 80 ล้านบาท ในงานประมูลของคริสตี้ส์ ที่ประเทศอังกฤษ
เบญจวรรณ อุไรไพรวัน ผู้ช่วยฝ่ายบริหาร บริษัท คริสตี้ส์ อ๊อกชั่น (ประเทศไทย) กล่าวว่า ของบางอย่างถ้าขายในตลาดมือสองในประเทศอาจจะขายได้ราคาที่ดี แต่บางอย่างอาจจะขายไม่ได้ เพราะคนซื้อมีจำกัด ขณะที่การประมูลที่มีผู้เข้าร่วมการประมูลจากทั่วโลกนั้น ไม่มีใครบอกได้ว่าจะขายได้ราคาเท่าไร แต่หลายๆ ครั้ง ราคาประมูลพุ่งขึ้นไปสูงกว่าราคาที่ผู้เชี่ยวชาญประเมินเอาไว้หลายเท่าตัว
สถาบันประมูล “คริสตี้ส์” (Christie’s) ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการประมูลของโลก ทั้งงานศิลปะ เครื่องประดับ นาฬิกา ไวน์ชั้นยอด เครื่องดนตรี เฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงพรม และหลายครั้งที่สินทรัพย์ที่คริสตี้ส์นำออกประมูลสามารถเรียกเสียงฮือฮาจากคนที่คอยติดตามข่าวสารการประมูลได้ไม่น้อยเลย
ตัวอย่างเช่น “The Perfect Pink” เพชรสีชมพูหายากน้ำหนัก 14.2 กะรัต ในการประมูลที่ฮ่องกง เมื่อวันที่ 29 พ.ย. มี “มหาเศรษฐีนิรนาม” ประมูลไปด้วยราคา 23.27 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยก็แค่เฉียดๆ 700 ล้านบาท เท่านั้นเอ๊งงง แต่บอกได้เลยว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ถ้า “มหาเศรษฐีนิรนาม” ผู้นี้คิดจะนำเพชรสีชมพูน้ำงามเม็ดนี้ออกมาประมูลขายในตลาดอีกรอบ ราคาจะไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่นอน
เห็นแบบนี้แล้วอยากจะรู้แล้วสิว่า ถ้า “มีของ...อยากขาย” จะต้องทำอย่างไร และถ้า “มีเงิน...อยากซื้อ” จะต้องเตรียมตัวอย่างไร ถึงจะเข้าสู่กระบวนการประมูลของคริสตี้ส์ได้
มีของ...อยากขาย
ต้องเรียกว่า “กรุแตก” กันเลยทีเดียว หลังจากไปรื้อสมบัติเก่า “อากง” ออกมาวางเรียงกัน เพราะมีตั้งแต่ถ้วย ถัง กะละมัง ปี๊บ บุบๆ บู้ๆ บี้ๆ ไปตามกาลเวลา ไม่เห็นจะมีทีท่าว่าชิ้นไหนจะได้เลื่อนขั้นจาก “สมบัติบ้า” มาเป็น “สมบัติล้ำค่า” เลยสักชิ้นเดียว
แต่ก็ยังไม่ท้อ เพราะของแบบนี้มันไม่แน่ อะไรที่เราเห็นว่า ไร้ค่า มันอาจจะเป็นเพราะเราไม่รู้ค่าของมันก็ได้ เพราะฉะนั้นต้องอาศัยสายตาอันเฉียบแหลมของผู้เชี่ยวชาญของคริสตี้ส์ ในการประเมินราคา แต่จะให้แบกสารพัดสมบัติบ้าออกไปทั้งโกดังก็เกรงว่าจะเป็นเป้าสายตาของโจรขโมย เลยต้องไปขอคำแนะนำจาก “เบญจวรรณ” ว่า ควรจะต้องทำอย่างไรดี
1.แค่ภาพถ่ายก็พอ
“ยังไม่ต้องเอาของจริงมาให้เราดูก็ได้ เพราะเพียงแค่ถ่ายรูปของชิ้นนั้นและเขียนรายละเอียดที่เกี่ยวกับของชิ้นนั้นมาให้ครบถ้วน จากนั้นก็ส่งมาให้เราทางอีเมลแล้วค่อยโทรศัพท์มาสอบถามอีกครั้งก็ได้ โดยเฉพาะเครื่องลายครามและภาพเขียนที่มีขนาดใหญ่ส่งมาแต่รูปก็พอ”
สำหรับรายละเอียดของ “ของ” ที่ต้องบอกให้ครบถ้วนก็เพื่อเป็นข้อมูลประกอบในการประเมินราคา เพราะฉะนั้นยิ่งรู้รายละเอียดมากก็ยิ่งเป็นประโยชน์ในการประเมินราคา เช่น
เพชร จะต้องมีใบรับประกัน เพราะจะเป็นตัวบอกองค์ประกอบที่สำคัญของเพชรเม็ดนั้น
พลอย จะต้องสามารถบอกแหล่งที่มาว่าเป็นพลอยของเหมืองไหน ผ่านการเผามาแล้วหรือยัง
“ถ้าเป็นพลอยเม็ดใหญ่ ที่มาจากแหล่งที่หายากหรือเหมืองปิดไปแล้ว ก็จะดีมากๆ และถ้าเป็นทับทิมหรือมรกตที่ยังไม่ได้ผ่านการเผาก็จะได้ราคาดีเช่นกัน”
นาฬิกา จะต้องบอกยี่ห้อ รุ่นหรือรหัสรุ่น วัสดุที่ทำ สภาพเป็นอย่างไร และที่สำคัญ คือ จะต้องถ่ายภาพหน้าปัดแบบชัดๆ
เพราะเพียงแค่เห็นภาพถ่ายกับรายละเอียดของของแต่ละชิ้น ผู้เชี่ยวชาญก็พอจะประเมินได้ว่า ของชิ้นนั้นเป็นของจริงหรือของปลอม ราคาประเมินเบื้องต้นควรจะอยู่ประมาณเท่าไร
“บางทีไม่ต้องถึงมือผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศก็พอจะดูออกว่าของจริงหรือปลอม โดยเฉพาะเซรามิก เครื่องลายคราม บอกว่าเป็นของสมัยราชวงศ์จีน แต่หากเป็นของแท้จะมีตราประทับ ขณะที่ลายเส้นจะมีความละเอียด ซึ่งที่ผ่านมามีของปลอมมาให้ประเมินราคาเยอะเหมือนกัน ซึ่งเจ้าของไม่รู้ตัวว่าเป็นของปลอม เพราะไปซื้อต่อมาจากคนอื่นอีกทีหนึ่ง”
เพราะฉะนั้น การนำมาให้ผู้เชี่ยวชาญประเมิน แม้จะไม่ได้คิดว่า อยากจะขาย แต่อย่างน้อยพอจะช่วยยืนยันได้ว่าของที่ซื้อมานั้น มันเป็นเพราะสายตาแหลมคมของเราหรือเพราะถูกแหกตากันแน่
แม้ว่า คริสตี้ส์ จะรับจัดประมูลสินทรัพย์หลากหลายประเภท แต่อย่างหนึ่งที่ตั้งกฎไว้ชัดเจนและเคร่งครัด คือ จะไม่รับจัดประมูลสินค้าที่เป็น “สมบัติชาติ” รวมไปถึงพระพุทธรูป เทวรูป และบรรดา “ของโจร” ทั้งหลายอย่าคิดมาแหยม
2.ประเมินราคา
อย่าตกใจถ้าราคาประเมินของผู้เชี่ยวชาญที่จะนำไปเป็นราคาตั้งต้นในการประมูลมันจะต่ำกว่า “ราคาในใจเรา” เพราะ “เบญจวรรณ” บอกว่า โดยปกติแล้วราคาประเมินของผู้เชี่ยวชาญจะต่ำกว่าราคาซื้อขายในตลาดมือสองอยู่ประมาณ 20% โดยเฉลี่ย ทั้งนี้ก็เพื่อ “เรียกลูกค้า” ในการประมูล
“บางคนนำของมาให้เราประเมินราคาแล้วคิดว่าจะได้ราคาสูง แต่พอเราประเมินราคาให้แล้วก็จะโกรธ เพราะได้ราคาต่ำกว่าที่คาดไว้ เพราะฉะนั้นต้องทำใจไว้ระดับหนึ่ง”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า “คริสตี้ส์” จะไม่สามารถรับประกันได้ว่า เมื่อเข้าสู่การประมูลแล้วราคาที่จะขายออกไปได้จะสูงกว่าราคาประเมินมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งไม่รับประกันว่าจะมีคนสนใจประมูลซื้อด้วยหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่บอกได้ คือ จะมีคนจากทั่วทุกมุมโลกได้เห็นสินค้าที่เราต้องการขาย ไม่ใช่แค่พ่อค้าในร้านรับซื้อของเก่าเพียงไม่กี่คน
นอกจากนี้ “มนต์ขลัง” ของการประมูลและเลือกประเทศที่จะนำของออกไปประมูล น่าจะช่วยให้ผลของการประมูลออกมาอย่างน่าพอใจ
“ผู้เชี่ยวชาญจะรู้ความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ เช่น ถ้าคนในแถบยุโรปจะชอบของที่คลาสสิก ถ้าเป็นในแถบตะวันออกกลางจะชอบของชิ้นใหญ่ๆ เช่น เครื่องประดับเป็นเซตใหญ่ๆ แต่ถ้าเป็นเอเชียจะเน้นของที่เป็นแฟชั่น เพราะฉะนั้นถ้าเลือกของที่เหมาะกับพื้นที่น่าจะทำให้การประมูลได้ผลที่ดีมากขึ้น”
“เบญจวรรณ” บอกว่า โดยปกติแล้วคริสตี้ส์จะส่งผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาประเมินราคาปีละ 2 ครั้ง ในช่วงเดือน ก.พ.และ ส.ค. โดยปีนี้ใกล้เข้ามาแล้ว คือ วันที่ 12 ส.ค.จะเป็นรอบของนาฬิกา และวันที่ 3-5 ส.ค.จะเป็นรอบของเครื่องประดับ ถ้าสนใจควรจะนัดกับ คริสตี้ส์ ล่วงหน้าไว้ก่อนจะดีที่สุดที่สำคัญ คือ ไม่คิดค่าใช้จ่ายในการประเมินราคา
3.ส่งของ
หลังจากตกลงปลงใจที่คริสตี้ส์นำของเราไปออกประมูลแล้ว ก็มีถึงขั้นตอนการ “ส่งตัว” กันแล้ว โดยก่อนที่จะเปิดการประมูลประมาณ 3 เดือน เราจะต้องส่งของชิ้นนั้นไปที่สำนักงานของคริสตี้ส์ ที่ฮ่องกง เพื่อให้คริสตี้ส์นำไปถ่ายภาพ จัดทำแค็ตตาล็อก และนำออกไปสู่สายตาชาวโลก
ทั้งนี้ คริสตี้ส์ จะทำหน้าที่แนะนำด้านการจัดส่ง แต่ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง เราในฐานะเจ้าของทรัพย์จะต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด
4.ค่าใช้จ่าย
นอกจาก “ค่าขนส่ง” ที่จะต้องส่งไปฮ่องกงแล้ว ถ้าคิดจะขายของ โดยใช้บริการงานประมูลของคริสตี้ส์ ยังมีค่าใช่จ่ายอื่นๆ อีกหลายรายการ ตั้งแต่ค่าธรรมเนียมในการขาย (ค่าคอมมิชชัน) ค่าธรรมเนียมในการลงแค็ตตาล็อก ค่าประกันความเสียหาย และภาษีรายได้จากการขาย ซึ่งที่ฮ่องกงจะคิดที่ 0.5% ของราคาขาย
ค่าคอมมิชชันน่าจะเป็นค่าใช้จ่ายหลักของการประมูล โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากมูลค่าของ “ของ” เช่น หากของที่ขายได้ราคาตั้งแต่ 2 แสนบาท ถึง 4 ล้านบาท ค่าคอมมิชชันจะอยู่ที่ 10% แต่หากของที่ราคาสูงกว่านี้เปอร์เซ็นต์ค่าคอมมิชชันจะลดลงเรื่อยๆ
แต่เมื่อรวมๆ กันแล้ว ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะอยู่ราวๆ 10-12% ของราคาประมูล
เพราะในฝั่งคนอยากขายมีค่าใช้จ่ายพอสมควร “เบญจวรรณ” จึงแนะนำว่า ถ้าเป็นของที่มีราคาหลักหมื่นบาท เช่น บรรดานาฬิกา ราคาเรือนละไม่กี่หมื่นบาทแค่เรือนเดียว การใช้บริการงานประมูลอาจจะไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพราะถ้าจะให้ดีของที่จะนำมาประมูลควรมีมูลค่าอย่างน้อยๆ ต้องเป็นหลักแสนบาทขึ้นไป
แต่อย่าเพิ่งถอดใจ เพราะยังพอมีทางออก เธอบอกว่าในกรณีแบบนี้ ผู้เชี่ยวชาญมักจะถามหาเรือนอื่นๆ ที่อยู่ในครอบครอง เพราะถ้าหากมีหลายๆ เรือนจะสามารถจัดเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 34 เรือนขึ้นไป ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและเปิดการประมูลพร้อมกันทั้งกลุ่ม จะทำให้ได้ราคาดีขึ้นและคุ้มกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
มีเงิน...อยากซื้อ
มาถึงนักสะสม นักลงทุน ที่สนใจอยากเข้าร่วมประมูล อย่างแรกที่จะต้องทำ คือ ต้องสมัครเป็นสมาชิกของ คริสตี้ส์ เสียก่อน ซึ่งสมัครฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายและไม่มีค่าสมาชิก เพียงแต่ต้องส่งเอกสารและหลักฐานทางการเงินให้ทางคริสตี้ส์พิจารณา
“หลักฐานทางการเงินที่ขอดูก็เพื่อให้รู้ว่า มีเงินพอที่จะซื้อของได้ นอกจากนี้ จะต้องมีการตรวจสอบว่ามีที่อยู่เป็นหลักแหล่งตามที่แจ้งกับทางเราจริงๆ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3-5 วัน ก็จะรับเป็นสมาชิก ซึ่งในปัจจุบันคนไทยเป็นสมาชิกของคริสตี้ส์อยู่ในหลักหมื่นคน”
ขณะที่วิธีการเข้าร่วมงานประมูลก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่ห้องประมูล เพราะมีหลายช่องทางให้เลือกใช้บริการ
1.ประมูลด้วยแบบฟอร์ม คริสตี้ส์จะมีแบบฟอร์มที่เราสามารถใส่ตัวเลขราคาประมูลสูงสุดที่เรา “จะสู้” ลงไปในแบบฟอร์มและส่งให้กับ คริสตี้ส์ ก่อนการประมูล
2.ประมูลทางโทรศัพท์ ซึ่งคริสตี้ส์จะจัดเจ้าหน้าที่มาคอยบริการลูกค้าที่ต้องการเข้าร่วมประมูลทางโทรศัพท์ไว้หลากหลายภาษา รวมทั้งภาษาไทยด้วย
3.ประมูลในห้อง โดยต้องลงทะเบียนล่วงหน้าว่าต้องการเข้าร่วมประมูลในห้องและจะได้รับป้ายที่เป็นหมายเลขประจำตัวสำหรับการประมูลครั้งนั้น
4.ประมูลทางอินเทอร์เน็ต แต่จะมีขั้นตอนมากกว่าการประมูลในช่องทางอื่นๆ เพราะแม้ว่าจะเป็นสมาชิกของคริสตี้ส์อยู่แล้ว ก็ยังต้องสมัครเพื่อประมูลทางอินเทอร์เน็ตอีกรอบหนึ่งและต้องสมัครล่วงหน้าประมาณ 1 สัปดาห์ เพราะจะมีการตรวจสอบหลักฐานทางการเงินซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
และไม่ว่าจะประมูลผ่านช่องทางไหนก็ตาม ถ้าเราเป็นคนที่ให้ราคาสูงสุด จะถือเป็นผู้ชนะ ได้ครอบครองของชิ้นนั้นๆ โดยหลังจากการประมูลทางคริสตี้ส์จะจัดส่งเอกสารพร้อมใบแจ้งราคาประมูล พร้อมกับค่าธรรมเนียมที่คนซื้อจะต้องจ่าย ซึ่ง “เบญจวรรณ” กล่าวว่า ค่าธรรมเนียมส่วนนี้จะเฉลี่ยอยู่แถวๆ 25% ของราคาประมูล
เมื่อได้ตัวเลขมาแล้วก็ไปดำเนินการ “โอนเงินเข้าบัญชี|คริสตี้ส์” โดยที่คนประมูลกับคนที่โอนเงินจะต้องเป็นคนเดียวกัน เพื่อป้องกันการฟอกเงิน
หลังจากชำระเงินเป็นที่เรียบร้อยก็มาถึงขั้นการรับของ ซึ่งหากจะให้คริสตี้ส์จัดส่งมาให้ก็ได้ เพียงแต่เราจะต้องเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ประกัน และภาษีต่างๆ เอง ดังนั้นคนที่ประมูลได้ส่วนใหญ่จะไปรับของด้วยตัวเองที่ฮ่องกง
เพียงเท่านี้ ก็วางใจได้ว่า จะได้ “ของดี” ราคาโดนใจมาไว้ในครอบครอง


