ศึกยาลดความอ้วนเริ่ม! FDA สหรัฐฯ อนุมัติยาเม็ดลดน้ำหนักกลุ่ม GLP-1 ครั้งแรก
FDA สหรัฐฯ ได้อนุมัติยากลุ่ม GLP-1 แบบเม็ดครั้งแรกของโลก หลังพบมีน้ำหนักตัวลดลง 16% คาดสามารถทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงยากลุ่มนี้ได้ง่ายขึ้น
KEY
POINTS
- องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) อนุมัติยาลดน้ำหนักกลุ่ม GLP-1 ในรูปแบบเม็ดเป็นครั้งแรกของโลก
- ยาชนิดเม็ดมีประสิทธิภาพเทียบเท่ายาแบบฉีด แต่มีข้อดีคือราคาเข้าถึงง่ายกว่าและสะดวกในการใช้งาน ไม่ต้องฉีดหรือแช่เย็น
- การอนุมัตินี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันในตลาดยาลดความอ้วน โดยมีบริษัทยายักษ์ใหญ่หลายแห่งเตรียมส่งยาเข้าสู่ตลาด
ยุคการเปลี่ยนแปลงสำคัญของ 'ยาลดน้ำหนัก' มาถึงแล้ว!
หลังจากที่ FDA สหรัฐฯ ไม่เคยมีการอนุมัติยาลดน้ำหนักมาก่อน จนกระทั่งเกิดการผลิตยากลุ่ม GLP-1 เป็นยาที่ ยาที่ออกฤทธิ์ต่อฮอร์โมนในระบบทางเดินอาหาร (GLP-1 receptoragonists) ซึ่งช่วยลดความอยากอาหาร ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และชะลอการเคลื่อนที่ของอาหารในกระเพาะอาหาร ให้ทำงานช้าลง จึงทำให้อิ่มนานขึ้นและลดปริมาณอาหารที่กิน
ก่อนหน้านี้ยาในกลุ่ม GLP-1 อยู่ในรูปแบบของยาแบบฉีด หรือที่เรียกกันว่า 'ปากกาลดน้ำหนัก' แต่เมื่อวันจันทร์ ที่ 22 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา องค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) อนุมัติ ยากลุ่มจีแอลพี-1 (GLP-1) ชนิดรับประทาน หรือ ยาในรูปแบบเม็ด ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลก และเป็นครั้งแรกของยาในประเภทลดน้ำหนัก เพราะ FDA สหรัฐฯ ไม่เคยอนุมัติยาลดน้ำหนักในรูปแบบเม็ดมาก่อน
ยาเซมากลูไทด์ หรือ GLP-1 ชนิดรับประทานวันละครั้ง แสดงผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ในเวลา 6 สัปดาห์ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 300 คน และพบว่าน้ำหนักตัวลดลงเฉลี่ย 16.6% ใกล้เคียงกับสูตรยาฉีดที่เริ่มวางตลาดตั้งแต่ปี 2021
แต่เมื่อเทียบราคากับยาสูตรฉีด จะพบว่ายาเม็ดมีราคาที่เข้าถึงง่ายกว่าคือ 149 ดอลลาร์สหรัฐในการเปิดตัวเมื่อซื้อผ่านร้านขายยาที่ร่วมโครงการของรัฐบาลสหรัฐฯ และแพลตฟอร์มเทเลเฮลท์
ยาเม็ดนี้มีข้อได้เปรียบหลายประการเมื่อเทียบกับยาฉีด ได้แก่ ไม่ต้องแช่เย็น และ ไม่ต้องฉีดยา ขณะที่ผลข้างเคียงชนิดรับประทานอยู่ในระดับใกล้เคียงกับยากลุ่ม จีแอลพี-1 (GLP-1) ที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ขนาดยาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 1.5 มิลลิกรัม ขณะที่สูตรฉีดอยู่ที่ 2.4 มิลลิกรัม
ศึก 'ยาลดน้ำหนัก' เพิ่งเริ่ม! บริษัทยายักษ์ใหญ่กระโดดลงเล่น ชิงเค้กระดับล้านล้าน
ยาลดน้ำหนักในกลุ่ม GLP-1 ในรูปแบบยาเม็ดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนดังกล่าวเป็นของบริษัทผลิตยายักษ์ใหญ่ฝั่งยุโรป ซึ่งได้ผลิตและขึ้นทะเบียนก่อนเป็นบริษัทแรก ทำให้หุ้นของบริษัทพุ่งขึ้นกว่า 9% ในคืนที่ผ่านมา
ในขณะที่บริษัทยายักษ์ใหญ่ฝั่งสหรัฐฯ เองก็ได้เปิดเผยผลวิจัยที่แสดงถึงประสิทธิภาพของยาในกลุ่มเดียวกันเช่นกัน และอยู่ในการทดลองระยะที่ 3 ซึ่งคาดว่าจะสามารถได้รับการอนุมัติจาก FDA สหรัฐฯ เร็วๆ นี้และพร้อมใช้ในปี 2026
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยสถิติผู้ป่วยโรคอ้วนในปี 2565 พบว่าประชากร 1 ใน 8 ป่วยโรคอ้วน เมื่อเจาะไปที่ประชากรที่เป็นผู้ใหญ่พบว่า ผู้ใหญ่ราว 2.5 พันล้านคนมีน้ำหนักเกิน และ 890 ล้านคนเป็นโรคอ้วน
นอกจากนี้จากการคาดการณ์ของสมาพันธ์โรคอ้วนโลก (World Obesity Federation) ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ คาดว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจจะสูงถึง 4.32 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายในปี 2035 ซึ่งคิดเป็นเกือบ 3% ของ GDP โลก
และ หากไม่มีมาตรการป้องกันและรักษาที่มีประสิทธิภาพ คาดว่าต้นทุนทางเศรษฐกิจทั่วโลกของภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนจะเพิ่มขึ้นจากเกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 เป็นมากกว่า 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2060
สถานการณ์ที่วิกฤตของโรคอ้วน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งต้นตอสำคัญของโรค NCDs หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ทำให้ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกออกแนวทางการใช้ยากลุ่ม GLP-1 สำหรับโรคอ้วนได้ ซึ่งเป็นครั้งแรกของโลกที่จะมีการบรรจุยาลดความอ้วนในบัญชียาจำเป็น เพราะแต่เดิม WHO จะใช้วิธีการแนะนำการปรับเปลี่ยนสุขภาพเท่านั้น.


