posttoday

เตือนเจ้าของบริษัทใหม่! ไม่ยื่นบัญชี = เสี่ยงโดนภาษีย้อนหลัง

17 ธันวาคม 2568

หลายคนที่เพิ่งเปิดบริษัทใหม่มักคิดว่า “ยังไม่มีรายได้ ไม่ต้องทำบัญชีตอนนี้ก็ได้” หรือ “เพิ่งจดบริษัทไว้เฉยๆ ยังไม่ได้เริ่มทำธุรกิจจริง” แต่รู้ไหมว่าความคิดแบบนี้อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาใหญ่ที่เรียกว่า “ภาษีย้อนหลัง” ซึ่งหลายคนต้องมานั่งเครียดทีหลัง เพราะไม่รู้ว่าการไม่ทำบัญชีหรือไม่ยื่นงบการเงินให้ถูกต้องตามกฎหมายภายในเวลาที่กำหนดนั้น มีผลร้ายแรงกว่าที่คิด

ในความเป็นจริงแล้ว การจดทะเบียนบริษัทไม่ว่าจะเริ่มมีรายได้หรือยัง บริษัทนั้นถือว่ามี “สถานะทางกฎหมาย” ทันที และต้องปฏิบัติตามกฎหมายภาษีและบัญชีอย่างครบถ้วน เหมือนบริษัทใหญ่ทุกประการ

ไม่ยื่นบัญชี ไม่ใช่เรื่องเล็ก!

เจ้าของกิจการมือใหม่หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าเมื่อยังไม่มีรายได้ ก็ไม่จำเป็นต้องทำบัญชีหรือยื่นงบการเงิน ซึ่งจริงๆ แล้ว “ผิด” เพราะกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า

บริษัททุกแห่งต้องจัดทำบัญชีและยื่นงบการเงินกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) และกรมสรรพากร ภายใน 150 วันนับจากวันสิ้นรอบบัญชี ไม่ว่าจะมีรายได้หรือไม่ก็ตาม ถ้าไม่ยื่นในกำหนด จะมีทั้ง “ค่าปรับ” และ “ความเสี่ยงภาษีย้อนหลัง” ตามมา เช่น

•    ปรับบริษัทไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท

•    กรรมการบริษัทอาจถูกปรับหรือมีประวัติเสีย

•    กรมสรรพากรสามารถเรียกตรวจย้อนหลังได้ทุกปีที่ไม่ได้ยื่นบัญชี

•    และถ้ามีรายรับบางส่วนที่เคยเกิดขึ้นแต่ไม่ได้แจ้งไว้ ระบบสามารถตรวจเจอได้จากการโอนเงินเข้าบัญชี หรือข้อมูลภาษีที่เชื่อมโยงกับระบบอื่น

ทำไมสรรพากรถึงตามเจอได้?

ยุคนี้ข้อมูลภาษีทุกอย่างถูกเชื่อมโยงกันหมด ตั้งแต่การเปิดบัญชีธนาคาร การหักภาษี ณ ที่จ่าย การยื่นภาษีของคู่ค้า หรือแม้แต่ข้อมูลจาก DBD ระบบจะสามารถตรวจสอบและเปรียบเทียบได้ว่า

•    บริษัทนี้เคยมีรายได้ผ่านระบบหรือไม่

•    เคยมีการออกใบกำกับภาษีไหม

•    เคยมีการหักภาษีจากผู้อื่นไว้หรือเปล่า

หากสรรพากรพบความผิดปกติ เช่น มีรายได้เกิดขึ้นแต่ไม่มีการยื่นภาษี หรือไม่มีงบการเงิน ก็จะสามารถ “ประเมินย้อนหลัง” ได้ทันที บางกรณีต้องจ่ายทั้งภาษีเพิ่มและเบี้ยปรับเงินเพิ่ม รวมกันแล้วอาจสูงกว่าภาษีจริงหลายเท่า

ภาษีย้อนหลังคืออะไร และเกิดขึ้นได้ยังไง

ภาษีย้อนหลัง หมายถึง ภาษีที่สรรพากรมีสิทธิเรียกเก็บย้อนหลัง หากพบว่าผู้เสียภาษีไม่ได้ยื่นแบบ หรือยื่นข้อมูลไม่ตรงความจริง โดยปกติสามารถตรวจย้อนหลังได้ถึง 5 ปี และในบางกรณีที่เห็นว่าเจตนาเลี่ยงภาษี อาจขยายระยะเวลาได้ถึง 10 ปี

ปัญหาที่ตามมาเมื่อไม่ยื่นบัญชี

1.    เสียค่าปรับและภาษีเพิ่ม

นอกจากค่าปรับกรณีไม่ยื่นบัญชีแล้ว ยังมี “เงินเพิ่ม” จากภาษีที่ค้างชำระ เช่น ดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือน

2.    เสียเครดิตทางธุรกิจ

ถ้าบริษัทไม่ยื่นงบการเงินต่อเนื่องหลายปี ชื่อบริษัทจะมีสถานะ “ขาดการยื่นงบ” ในระบบ DBD ซึ่งส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของกิจการ เช่น เวลาจะขอสินเชื่อ หรือร่วมงานกับบริษัทอื่น

3.    ปิดบริษัทไม่ได้ง่าย

หากในอนาคตอยากเลิกบริษัท แต่ไม่เคยยื่นบัญชีเลย ต้องย้อนทำงบให้ครบทุกปีก่อนถึงจะดำเนินการปิดกิจการได้ ซึ่งค่าใช้จ่ายตรงนี้อาจสูงกว่าการทำบัญชีตั้งแต่แรกหลายเท่า

แนวทางป้องกันและสิ่งที่เจ้าของบริษัทควรทำ

1.    จัดทำบัญชีตั้งแต่วันแรกที่จดทะเบียน
แม้จะยังไม่มีรายได้ แต่ก็ต้องจัดทำเอกสารทางบัญชี เช่น ทุนจดทะเบียน ค่าใช้จ่ายเริ่มต้น ค่าเปิดบัญชีธนาคาร

2.    ยื่นภาษีให้ครบตามรอบ

o    ภงด.1, ภงด.3, ภงด.53 สำหรับภาษีหัก ณ ที่จ่าย

o    ภ.พ.30 สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ถ้าจด VAT)

o    ภงด.50 สำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี

3.    ใช้บริการสำนักงานบัญชีมืออาชีพ

สำหรับบริษัทใหม่ การมีนักบัญชีดูแลตั้งแต่ต้นจะช่วยลดความเสี่ยงผิดพลาดทางภาษี และให้คำแนะนำเรื่องเอกสารที่ควรเก็บไว้

4.    อย่าปล่อยให้ขาดการยื่นงบเกิน 1 ปี:

เพราะถ้าเกิน 2 ปี DBD สามารถเพิกถอนการจดทะเบียนบริษัทได้ ซึ่งจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เมื่อมีภาษีค้างคา

ตัวอย่างสถานการณ์จริง

มีเจ้าของธุรกิจรายหนึ่ง จดบริษัทไว้ตั้งแต่ปี 2565 ด้วยทุน 1 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้เริ่มทำจริง คิดว่าไว้เริ่มขายสินค้าก่อนแล้วค่อยทำบัญชี พอถึงปี 2568 กรมสรรพากรส่งหนังสือแจ้งให้ยื่นงบย้อนหลังทุกปีที่ขาด พร้อมค่าปรับหลายหมื่นบาท

สุดท้ายต้องจ้างสำนักงานบัญชีมาจัดทำงบย้อนหลัง 3 ปี รวมค่าปรับและค่าทำบัญชีแล้วเกือบแสนบาท ทั้งที่ถ้าทำตั้งแต่ปีแรกจริงๆ ค่าใช้จ่ายปีละไม่กี่พันเท่านั้น

กล่าวโดยสรุป การทำบัญชีและยื่นภาษีไม่ใช่เรื่องของบริษัทใหญ่เท่านั้น แต่เป็น “หน้าที่ตามกฎหมาย” ที่ทุกบริษัทต้องปฏิบัติ ไม่ว่าจะมีรายได้หรือไม่ก็ตาม เพราะทันทีที่จดทะเบียนบริษัทถือว่าเริ่มนับหนึ่งทางภาษีแล้ว

อย่าคิดว่า “ยังไม่เริ่มทำจริง” แล้วจะปลอดภัย เพราะสรรพากรสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้เสมอ การยื่นบัญชีให้ครบตั้งแต่แรก ไม่เพียงช่วยป้องกันภาษีย้อนหลัง แต่ยังช่วยให้บริษัทดูน่าเชื่อถือในสายตาลูกค้า คู่ค้า และสถาบันการเงินอีกด้วย

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่  Inflow Accounting

ข่าวล่าสุด

ธนาคารไทยเครดิตคว้า 2 รางวัล ด้านการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน จาก ก.ล.ต.