ส่องเทรนด์ AI ปี 69 ยุคทอง AI Agent พลิกโฉมธุรกิจ ปฏิวัติวงการแพทย์
ไมโครซอฟท์เปิด 7 เทรนด์ AI ปี 2569 ยกระดับจากเครื่องมือตอบคำถามทั่วไปสู่ยุคทองของ ‘AI Agent’ พลิกโฉมธุรกิจ-วิถีชีวิต ปฏิวัติวงการแพทย์
KEY
POINTS
- ในปี 2569 AI จะยกระดับจากเครื่องมือตอบคำถามทั่วไป สู่การเป็น AI Agent หรือเพื่อนร่วมงานดิจิทัลที่ทำงานเชิงรุก ตัดสินใจ และแก้ปัญหาซับซ้อนร่วมกับมนุษย์
- AI จะเป็นกุญแจสำคัญในการวิจัยยา พยากรณ์อากาศแม่นยำสูง รับมือน้ำท่วม และเร่งการพัฒนาควอนตัมคอมพิวติ้งให้ใช้งานได้จริง
- ข้อมูลชี้ชัดว่ามนุษย์เริ่มใช้ AI เป็นที่ปรึกษาทางใจและไลฟ์สไตล์มากขึ้น สะท้อนความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ที่ลึกซึ้งกว่าแค่การทำงาน
ไมโครซอฟท์ เผยวิสัยทัศน์เทคโนโลยีแห่งอนาคต ปักหมุดปี 2569 เตรียมก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะเปลี่ยนสถานะจากเพียง “เครื่องมือ” สู่การเป็น “คู่คิด” (Partner) อย่างเต็มรูปแบบ
พร้อมเปิด 7 เทรนด์สำคัญที่จะเข้ามาปฏิวัติรูปแบบการทำงาน การแพทย์ และการแก้ปัญหาระดับโลกอย่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ย้ำจุดยืนการพัฒนาเทคโนโลยีที่ต้องควบคู่ไปกับความปลอดภัยและความยั่งยืน
เจาะลึก 7 เทรนด์ AI เปลี่ยนโลกปี 2569
ไมโครซอฟท์ระบุว่า เทคโนโลยี AI กำลังวิวัฒนาการไปสู่การสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริงทั้งในภาคธุรกิจและชีวิตประจำวัน ผ่าน 7 เทรนด์สำคัญที่จะพลิกโฉมโลก ดังนี้
1. เพื่อนร่วมงานดิจิทัล (AI Agent)
หนึ่งในเทรนด์ที่น่าจับตาที่สุดคือการเกิดขึ้นของ AI Agent ซึ่งจะเข้ามาทำหน้าที่เหมือนเพื่อนร่วมทีมคนหนึ่ง โดยไม่ได้แค่รอรับคำสั่ง แต่สามารถจัดการงานข้อมูล สร้างคอนเทนต์ หรือปรับปรุงชิ้นงานได้เอง ซึ่งจะช่วยให้ทีมขนาดเล็กสามารถสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ได้ โดยมนุษย์จะถอยมาดูภาพรวมและใส่ความคิดสร้างสรรค์แทน
2. มาตรฐานความปลอดภัยใหม่
เมื่อเรามี AI เป็นเพื่อนร่วมทีม เรื่อง "ความปลอดภัย" จึงกลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน ไมโครซอฟท์ย้ำว่า AI Agent ทุกตัวต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยแบบใหม่ที่ฝังอยู่ในระบบ ต้องระบุตัวตนได้ชัดเจน และมีการจำกัดสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลเพื่อป้องกันภัยไซเบอร์ พูดง่ายๆ คือ เก่งแล้วต้องไว้ใจได้ด้วย
3. ลดช่องว่างทางสาธารณสุขด้วย AI
สิ่งที่ทำให้เทรนด์ปี 2569 น่าตื่นเต้น คือการที่ AI เข้าไปจับงานยากๆ ที่มนุษย์ทำได้ช้า เช่น การวิจัยยาและการรักษาโรค เทคโนโลยีอย่าง BioEmu-1 จะช่วยคาดการณ์โปรตีนเพื่อพัฒนายาใหม่ๆ
หรือโมเดล FCDD ที่ช่วยแพทย์คัดกรองมะเร็งเต้านมได้แม่นยำขึ้น ลดความผิดพลาดในการวินิจฉัย ซึ่งถือเป็นการลดช่องว่างด้านสาธารณสุขทั่วโลก รวมถึง RAD-DINO ที่สามารถวิเคราะห์ภาพเอกซเรย์ ให้ข้อมูลที่แม่นยำและรวดเร็วกับบุคลากรทางการแพทย์
4. หัวใจสำคัญของการวิจัยวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม
ในฝั่งของการวิจัยวิทยาศาสตร์ AI กำลังกลายเป็น "หัวใจ" ของห้องแล็บ ช่วยนักวิจัยเร่งกระบวนการค้นพบวัสดุใหม่ๆ ช่วยสร้างสมมติฐานและควบคุมการทดลอง ผ่านเครื่องมืออย่าง MatterGen และ MatterSim เพื่อหาวัสดุดักจับคาร์บอน หรือแบตเตอรี่พลังงานสะอาดที่โลกกำลังต้องการ
นอกจากนี้ยังมี Aurora โมเดล AI ที่พยากรณ์สภาพอากาศและเหตุการณ์ทางสิ่งแวดล้อมได้อย่างแม่นยำแบบก้าวกระโดด ซึ่งสำคัญมากต่อการรับมือภาวะโลกรวน
5. โครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ
เบื้องหลังความเก่งกาจเหล่านี้ คือการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพื้นฐาน ไมโครซอฟท์ระบุว่า เรากำลังจะเห็น "Superfactories" หรือโรงงานผลิต AI อัจฉริยะที่กระจายตัวทั่วโลก เพื่อใช้พลังประมวลผลให้คุ้มค่าที่สุด
รวมถึงการมาของคอมพิวเตอร์ที่ใช้แสงในการประมวลผล (Analog Optical Computer) แทนระบบอิเล็กทรอนิกส์ดิจิทัล ซึ่งมีศักยภาพในการประมวลผลของ AI ได้เร็วกว่าและใช้พลังงานน้อยกว่า GPU ในปัจจุบัน
6. AI ที่เข้าใจบริบทของ "โค้ด"
ในปี 2569 โลกจะเข้าสู่ยุค "Repository Intelligence" ที่ AI ไม่เพียงเข้าใจบรรทัดของโค้ดโปรแกรม แต่เข้าใจไปถึงประวัติและความสัมพันธ์เบื้องหลังของโค้ดทั้งหมด ทำให้สามารถให้คำแนะนำ ตรวจจับข้อผิดพลาด และแก้ไขปัญหาที่พบบ่อยได้โดยอัตโนมัติอย่างชาญฉลาด
7. ก้าวกระโดดสู่ยุคควอนตัม
เทคโนโลยีควอนตัมกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วด้วย "Hybrid Computing" ที่ผสานควอนตัมเข้ากับ AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ นำไปสู่ความสามารถในการแก้ปัญหาที่คอมพิวเตอร์ดั้งเดิมทำไม่ได้ (Quantum Advantage) โดยไมโครซอฟท์ได้เปิดตัว Majorana 1 ชิปควอนตัมตัวแรกที่ขับเคลื่อนด้วย Topological Qubits ซึ่งมีความเสถียรสูงกว่าคิวบิตแบบเดิมอย่างมาก
ทางด้าน ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย และตลาดใหม่ ได้ขยายความให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะในบริบทของคนไทยที่จะได้เห็น AI เข้ามาปลดล็อกโอกาสใหม่ๆ อย่างมหาศาล โดยเฉพาะการรับมือกับความผันผวนของสภาพภูมิอากาศ
"เราได้พัฒนา Aurora และโมเดลตรวจจับน้ำท่วมที่ใช้ภาพเรดาร์จากดาวเทียมสำรวจโลก ซึ่งสามารถมองทะลุเมฆและทำงานได้แม้ในเวลากลางคืน ช่วยทำแผนที่พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมได้อย่างแม่นยำช่วยให้นักวิจัยทำแผนที่พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมได้อย่างแม่นยำ สิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการช่วยเหลือเกษตรกร ปกป้องโครงสร้างพื้นฐาน และลดผลกระทบต่อชุมชน"
นอกจากนี้ ยังมีการใช้โครงการอย่าง MatterGen เพื่อค้นวัสดุดักจับคาร์บอนและพลังงานสะอาด สะท้อนให้เห็นว่า AI ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับโลกและสร้างผลกระทบเชิงบวกที่เป็นประโยชน์กับทุกคนได้อย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ข้อมูลจากการวิเคราะห์บทสนทนากว่า 37.5 ล้านครั้งบน Copilot ในปี 2025 ชี้ให้เห็นว่า ผู้คนเริ่มมอง AI เป็น "เพื่อนคู่คิดดิจิทัล" มากขึ้น โดยมีการใช้งานครอบคลุมตั้งแต่เรื่องสุขภาพ การทำงาน ไปจนถึงเรื่องส่วนตัวอย่างความรักและปรัชญา
สะท้อนว่า AI กำลังพัฒนาไปสู่การเป็นผู้ช่วยที่เข้าใจมนุษย์ ช่วยตัดสินใจ และสร้างความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่เครื่องมือถาม-ตอบอีกต่อไป


