ส่องงบเทคจีน AI บูมสุดขีด แต่ "ทำเงินไม่ได้” ชาวเน็ตชินใช้ AI ฟรี

ชั่วโมงนี้ไม่มีอะไรมาแรงเท่า AI อีกแล้ว! เทคโนโลยีอัจฉริยะนี้กำลังแทรกซึมเข้าไปในทุกวงการ ไม่เว้นแม้แต่ "การเลี้ยงสัตว์" ที่ซีอีโอ Alibaba ยกตัวอย่างขึ้นมา

 

สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ในการประชุมแถลงผลประกอบการล่าสุดของ Alibaba เอ็ดดี้ อู๋ ซีอีโอของบริษัท ได้กล่าวเน้นย้ำถึงการนำ AI ไปใช้

 

ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว เกินกว่าแค่ในภาคเทคโนโลยี แต่ลามไปถึงธุรกิจอื่นๆ ด้วย อย่างเช่นที่เขาเน้นย้ำถึง "การเลี้ยงสัตว์" ซ้ำถึงสองครั้ง

 

ฟังดูแล้วอาจจะงงๆ แต่ก็สะท้อนภาพชัดเจนว่า AI กำลังถูกนำไปใช้ในธุรกิจที่หลากหลายจริงๆ และจุดนี้เองคือโจทย์หินของบริษัทเทคจีน ว่าจะงัดเอาเทคโนโลยีสุดล้ำนี้ไปใช้ให้ "ทำเงินได้จริง" ได้อย่างไร

 

 

แม้งบของบริษัทยักษ์ใหญ่หลายรายที่เพิ่งประกาศออกมาจะแสดงถึงความแข็งแกร่ง ท่ามกลางเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวและแรงกดดันจากสงครามการค้า

 

แต่เบื้องหลังตัวเลขเหล่านั้น กลับเผยให้เห็นถึง "ความไม่แน่นอน" อย่างมากว่า การทุ่มงบมหาศาลไปกับ AI จะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่

 

สำหรับ Alibaba ทำรายได้ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เล็กน้อย ทั้งที่ช่วงต้นปี บริษัทได้ประกาศ "เทหมดหน้าตัก" ทุ่มสุดตัวกับ AI

 

กลายเป็นผู้เล่นที่เดินเกมรุกหนักที่สุดคนหนึ่งในวงการ เปิดตัวสินค้าและอัปเดตฟีเจอร์ใหม่แทบไม่เว้นแต่ละสัปดาห์ 

 

แม้จะสะท้อนภาพว่า บริษัทเทคกำลัง "เร่งเครื่อง" พัฒนา AI ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแค่ไหน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับสวนทาง เพราะผู้บริโภคในจีนยังไม่พร้อม "จ่ายเงิน" เพื่อใช้งานเทคโนโลยีใหม่นี้

 

ส่วน Tencent รายได้ยังคงแข็งแกร่ง ต้องขอบคุณธุรกิจเกมที่เป็น "เรือธง" 

 

แต่เมื่อถามถึง AI มาร์ติน เลา ประธานบริษัท ยอมรับกับนักวิเคราะห์ตามตรงว่า

 

 "เรากำลังอยู่ในดินแดนที่ยังไม่มีใครเคยไป ไม่ใช่แค่ Tencent แต่เป็นทั้งโลก"

 

เขาชี้ให้เห็นถึงแง่บวกของการลงทุน AI ว่าเริ่ม "เห็นผล" ในการช่วยปรับปรุงระบบโฆษณาให้ตรงเป้าหมายมากขึ้น 

 

นอกจากนี้ Tencent กำลังพัฒนา AI ให้กลายเป็น "เครื่องมืออัจฉริยะ" (agentic tools) หรือบอท AI ที่ทำงานซับซ้อนได้เอง ซึ่งจะเป็นก้าวต่อไปที่สำคัญ 

 

แต่เขาก็ยอมรับอย่างเปิดอกว่า เครื่องมือเหล่านี้อาจไม่ได้แตกต่างจากที่คู่แข่งกำลัง "ซุ่มพัฒนา" อยู่เช่นกันต่างจากตลาดตะวันตกที่ผู้ใช้อาจยอมจ่ายเงินให้ AI อย่าง ChatGPT

 

 

ในประเทศจีน การเก็บเงินค่าบริการซอฟต์แวร์เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาตลอด ส่วนใหญ่แล้ว AI จะถูกนำเสนอให้ใช้ฟรีๆ 

 

ดังนั้น การที่ยักษ์ใหญ่สายเทคในจีนจะสร้างรายได้แบบเดียวกับ OpenAI จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย 

 

นี่คือแรงกดดันมหาศาลที่บีบให้บริษัทเหล่านี้ต้อง "เค้นพลังสมอง" คิดค้นโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสร้างรายได้จาก AI ให้ได้ 

 

และการที่ประธานบริษัท Tencent เองก็ยังไม่เชื่อว่าโมเดลเก็บค่าบริการแบบสมัครสมาชิกสำหรับ AI จะ "แจ้งเกิด" ในจีนได้ ยิ่งสะท้อนภาพตลาดสุดหิน

 

ซึ่งแม้จะผลักดันให้เกิดนวัตกรรมไม่หยุด แต่ก็ทำให้ผู้เล่นต้อง "แข่งกันเฉา" ด้วยกลยุทธ์ลดราคาตัดหน้ากันสุดฤทธิ์

 

 

น่าสนใจว่า แม้ Alibaba จะพยายามชูเรื่อง AI มากแค่ไหนในการแถลงงบ แต่คำถามส่วนใหญ่จากนักวิเคราะห์กลับไปอยู่ที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็น "สนามรบ" ที่ดุเดือดอยู่แล้วในจีน

 

สะท้อนปัญหาใหญ่ที่จีนกำลังเผชิญ ทั้งเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และสงครามการค้าที่ยังคุกรุ่น 

 

ปัจจัยเหล่านี้กำลัง "กดดัน" ความฝันด้านเทคโนโลยีของจีน แม้บริษัทต่างๆ จะพยายามวิ่งตามความก้าวหน้าของ Silicon Valley อย่างเต็มที่ก็ตาม

 

ภาพรวมงบเทคจีนจึงออกมาแบบ "ครึ่งๆ กลางๆ" แสดงให้เห็นชัดเจนว่า การแข่งขันในวงการนี้ยังคงดุเดือดเลือดพล่าน

 

ผู้เล่นต่างทุ่มเทพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคเต็มที่ เราอาจได้เห็นประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก AI แต่โจทย์ใหญ่ที่ยังไม่มีใครตอบได้คือ จะ "แปลง" ประสิทธิภาพเหล่านั้นมาเป็น "ตัวเงินที่จับต้องได้" ได้อย่างไร

 

นักลงทุนจับตาดูอยู่ว่าบริษัทเหล่านี้จะแสดงให้เห็น "เส้นทางการทำเงินที่ยั่งยืน" จาก AI ได้เมื่อไหร่ ในจังหวะที่ยังคลุมเครือนี้ การเดินหน้าแบบ "สายบุก" ของ Alibaba จึงดูมีความเสี่ยงมากกว่าเมื่อเทียบกับแนวทางที่ "ช้าแต่ชัวร์กว่า" ของ Tencent

 

ปิดท้ายด้วยคำถามว่า... สุดท้ายแล้ว "เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์" หรือธุรกิจอื่นๆ จะมองเห็นคุณค่าของ AI ในแง่ประสิทธิภาพมากพอที่จะ "ยอมจ่ายเงิน" เพื่อใช้งาน AI หรือไม่? นี่คืออนาคตของ AI ในจีนที่เราต้องตามติดกันต่อไป