posttoday

ราชวงศ์อังกฤษซ่อนมงกุฎเพชร ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

12 มกราคม 2561

เผยราชวงศ์อังกฤษ ซ่อนเพชรล้ำค่าไว้ในกล่องบิสกิต พ้นเงื้อมมือนาซี

เผยราชวงศ์อังกฤษ ซ่อนเพชรล้ำค่าไว้ในกล่องบิสกิต พ้นเงื้อมมือนาซี

เดอะซัน - นำเสนอเรื่องราวที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนเกี่ยวกับราชวงศ์อังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าจอร์จที่6 พระราชบิดาของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ประมุขแห่งอังกฤษองค์ปัจจุบันว่า ในครั้งนั้นพระเจ้าจอร์จที่6 ทรงมีพระบัญชาให้ซ่อนเครื่องอัญมณีสำคัญๆหลายชิ้น โดยหนึ่งในนั้นคือเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ที่ประกอบด้วยเครื่องเพชรที่ถูกแกะออกจาก Imperial State Crown ซึ่งเป็นมงกุฎที่สมเด็จพระราชินีทรงสวมใส่ระหว่างเสด็จเปิดประชุมสภา

 

ราชวงศ์อังกฤษซ่อนมงกุฎเพชร ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

 โดยถูกใส่ลงในกล่องบิสกิตยี่ห้อBath Oliver และถูกนำไปฝั่งไว้ที่ชั้นใต้ดินของปราสาทวินเซอร์ ซึ่งส่วนของอัญมณีที่ประดับมงกุฏนั้นจะถูกแยกซ่อนไว้อีกส่วนเนื่องในกรณีฉุกเฉินเพื่อป้องกันทหารนาซี สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ที่เซอร์โอเว่น มอร์สเฮด เจ้าหน้าที่ระดับสูงในราชสำนักที่เคยถวายงานสมเด็จพระราชินีแมรี่ พระมารดาของพระเจ้าจอร์จที่ 6 ว่าภายในกล่องบิสกิตนั้นจะซ่อนทับทิมยอดมงกุฏรวมถึงไพลินที่ประดับบน St Edward’s Crown

 

ราชวงศ์อังกฤษซ่อนมงกุฎเพชร ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

 

 เรื่องราวนี้กล่าวถูกเปิดเผยขึ้นโดยนายอลาสแตร์ บรูซ ผู้เชี่ยวชาญด้านราชวงศ์อังกฤษซึ่งเพิ่งกราบทูลความลับนี้แก่สมเด็จพระราชินี ผ่านรายการ The Coronations ซึ่งออกอากาศทางช่องบีบีซีในวันอาทิตย์นี้ อลาสแตร์กล่าวว่าปฏิบัติดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลากลางคืนอีกทั้งต้องใช้ผ้าใบคลุมเพื่อไม่ให้เครื่องบินลูฟวาฟเฟ่ของเยอรมันสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวดังกล่าว โดยการนำสมบัติดังกล่าวไปซ่อนไว้เกิดขึ้นในช่วงแรกของสงครามที่อังกฤษถูกโจมตีทางอากาศจากกองทัพนาซี

 

ราชวงศ์อังกฤษซ่อนมงกุฎเพชร ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

 

 ซึ่งโดยปกติแล้ว เครื่องราชกกุธภัณฑ์ของราชวงศ์อังกฤษจะถูกเก็บรักษาอยู่ที่หอคอยลอนดอน แต่ด้วยช่วงสงครามพระเจ้าจอร์จที่6 ทรงเกรงว่าจะทหารนาซีจะบุกยึดลอนดอนสำเร็จเช่นเดียวกับที่บุกยึดกรุงปารีสได้สำเร็จ จึงทรงดำริให้มีแผนดังกล่าว ส่วนสำหรับเครื่องราชกกุธภัณฑ์ชิ้นอื่นๆจะถูกเก็บแยกไว้อย่างแน่นหนา ด้วยประตูเหล็กที่ปิดผนึกด้วยทางเข้าลับที่ปราสาทวินเซอร์เช่นกัน

 ที่มา : https://www.thesun.co.uk/