คว่ำบาตรเขาเริ่มเข้าตัว รัสเซียกับตะวันตก ใครจะเจอนรกก่อนกัน
Russian Winter สมรภูมิวัดใจใครจะอึดกว่า รัสเซีย-ตะวันตกใครจะยอมยกธงขาวก่อนกันกับการวัดศักยภาพความทนจากผลสะเทือนของสงครามเศรษฐกิจ
ฤดูหนาวของรัสเซียนั้นโหดร้ายต่อผู้รุกราน เป็นเหมือนแม่ทัพที่ปราบศัตรูให้พ่ายแพ้รายแล้วรายเล่า จนเรียกว่าเป็น "นายพลเหมันต์" (General Winter) และคำว่า Russian Winter หมายถึงการยืนหยัดของรัสเซียต่อการรุกรานโดยอาศัยหน้าหนาวที่ยะเยือกอย่างอำมหิต
รายแรกคือจักรวรรดิสวีเดน เคยยกทัพบุกรัสเซียปี 1707 หมายจะตีมอสโก ยกทัพไป 35,000 แต่ดันเอาชีวิตทหารไปสังเวยหน้าหนาวของรัสเซียถึง 16,000 คน พอถอยทัพออกมาตั้งหลักที่ยูเครนด้วยความอ่อนล้า รัสเซียก็ไล่มาตีอีก 2 ปีถัดมาจนพ่ายยับ จักวรรดิสวีเดนที่ยิ่งใหญ่ก็ถึงกาลอวสานในศึกนั้น
รายที่สองคือนโปเลียนที่ยกทัพใหญ่มาจะตีมอสโกอีกรายในปี 1812 แต่ต้องชอกช้ำกลับไปอีก ทั้งเพราะบอบช้ำจากการรบของรัสเซียและถูกซ้ำเติมจากฤดูหนาวที่เหี้ยมเกรียม ศึกนั้นมีคนตายไปราว 1,000,000 คน และทำให้นโปเลียนสิ้นชื่อในฐานะ "ผู้ไม่เคยปราชัย"
รายที่สาม คือฮิตเลอร์กับขุนพลนาซีที่แม้จะเรียนรู้จากความล้มเหลวของศึกก่อนๆ จึงคิดโค่นรัสเซีย (สหภาพโซเวียต) ให้เรียบร้อยก่อนฤดูหนาว แต่ฟ้าดินไม่อาจเป็นดั่งใจมนุษย์ พวกนาซีประเมินพลาด การศึกลากยาวจน "นายพลเหมันต์" มาช่วยโซเวียตเอาไว้
พวกที่พ่ายให้กับฤดูหนาของรัสซียเหล่านี้มีจุดร่วมอย่างหนึ่งคือ เมื่อแพ้แล้วกำลังจะถูกบั่นทอนลงไปมาก อย่างสวีเดนถึงกับสิ้นสถานะจักรวรรดิ นโปเลียนต้องสิ่นสุดชื่อเสียงผู้ไร้พ่ายและเสียจักรวรรดิในกาลต่อมา และนาซีก็ซวนเซจนถูกบี้ไล่หลังจากโซเวียตและขนาบด้วยสัมพันธมิตรจนพ่ายแพ้ในที่สุด
นี่คือฤทธิ์เดชของ "ฤดูหนาวรัสเซีย" เพียงแค่รัสเซียดึงศัตรูให้จมอยู่กับหน้าหนาวนานสักหน่อย อีกฝ่ายก็จะถูกตัดกำลังจนพ่ายไปเอง
แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับว่าศัตรูนั้นดึงดันแค่ไหนและขึ้นอยู่กับแท็กติกการรบของรัสเซียด้วย เพราะชัยชนะและความพ่ายแพ้ในฤดูหนาวของรัสเซียนั้น ปัจจัยครึ่งหนึ่งมาจากการรบที่มีประสิทธิภาพของรัสเซีย บวกกับการใช้สภาพอากาศให้เป็นประโยชน์
สงครามยูเครนครั้งนี้ฤดูหนาวไม่ใช่อุปสรรค เพราะรบกันปลายฤดูหนาวและรบกันโดยยูเครนและรัสเซียที่คุ้นเคยกับความหนาวยะเยือกเป็นอย่างดี
แต่สมรภูมิ "สงครามฤดูหนาวรัสเซีย" คราวนี้ไม่ได้อยู่ที่การรบตามขนบ ไม่ใช่การขุดสนามเพลาะ หรือการใช้หน่วยรถเกราะ (ที่จะติดแหง็กในหน้าโคลนช่วงต้นและปลายฤดูหนาว ตามด้วยหิมะหนาหนาวเหน็บจนขยับไปไหนไม่ได้)
แต่เป็นการรบด้วยอาวุธทางเศรษฐกิจระหว่างรัสเซีย ยุโรป อเมริกัน และชาวโลกที่เหลือ โดยที่ยูเครนเป็นพียงตวประกอบในสงครามนี้ (หรือตัวยุด้วยซ้ำ)
อาวุธที่ใช้ในการรบของสงครามฤดูหนาวรัสเซียคือ "ก๊าซธรรมชาติ" และ "น้ำมัน" ของรัสเซียซึ่งตอนนี้ถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐไปเรียบร้อยแล้ว
รู้ๆ กันว่ายุโรปพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียสูงมาก และเป็นเหตุให้เกิดความลังเลใจกับบางชาติในยุโรปเมื่อบางประเทศต้องการให้คว่ำบาตรรัสเซียขึ้นมา กระแสข่าวนี้สะท้อนว่ายุโรปไม่เป็นหนึ่งเดียวกันเมื่อพูดถึงเรื่องพลังงานของรัสเซีย
ดังนั้น พอคว่ำบาตรกันจริงๆ ยุโรปเลี่ยงที่จะคว่ำบาตรก๊าซของรัสซีย จนเป็นที่เย้ยหยันของชาวโลกว่าเป็นการคว่ำบาตรแบบ "กำมะลอ" และ "ขอไปที" เพราะหากคิดจะเอารัสเซียลงจริงๆ ต้องตัดเส้นเลืดใหญ่รัสเซียก็คือภาคพลังงาน
รัสเซียนั้นก็ดีแสนดี แม้ยุโรปจะคว่ำบาตรวันแล้ววันเล่าด้วยมาตรการยุบยิบหยุมหยิม แต่ก็ยังปล่อยก๊าซส่งให้ยุโรปตามเดิม โดยตัดเพียงไม่กี่เส้นทางเท่านั้น ซึ่งเชื่อว่าเป็นการตอบโต้พอหอมปากหอมคอ
ตะวันตกบางคนแก้เก้อว่าที่รัสเซียยังส่งก๊าซให้ยุโรปก็เพราะรัสเซียต้องการเงินอย่างมากในช่วงที่ถูกกีดกันทางเศรษฐกิจไปทุกๆ ด้าน
วิเคราะห์แบบนี้เหมือนจะอวยว่ายุโรปแกร่งจนเกินเหตุ เอาจริงๆ ยุโรปนั้นต้องการก๊าซรัสเซียมากจนทำเป็นอมพะนำต่างหาก หากไม่กลัวรัสเซียก็ควรจะปิดท่อก๊าซของตนไปเลย
รัสเซียนั้นไม่ขายก๊าซ/น้ำมันก็ยังอยู่ได้ แต่ยุโรปขาดพลังงานจากรัสเซียเหมือนขาดใจ
โดยเฉพาะฤดูหนาวของยุโรปนั้นขาด "ของ" จากรัสเซียไม่ได้ ชีวิตประชาชนจะยากลำบากในทันที เพราะอาจจะหนาวตายกันได้ ไหนเศราษฐกิจจะขับเคลื่อนไม่ได้อีก
เมื่อเปิดสงครามเศรษฐกิจกับรัสเซียเอาช่วงปลายฤดูหนาว ยุโรปบางคนอาจจะโล่งใจว่าดีที่มารบกันตอนนี้ หากรบกันหน้าหนาวได้เจออานุภาพของ "ฤดูหนาวรัสเซีย" ในแผ่นดินยุโรปแน่นอน และยุโรปจะต้องยอมยกธงขาวให้รัสเซียแน่ๆ
คิดแบบนี้คิดผิด หากจะรบกับรัสเซียด้วยวิธีคิดปลอบใจตัวเองแบบนี้รอเวลาแพ้ได้เลย
เพราะถึงจะไม่ได้ "รบ" ช่วงหน้าหนาว แต่ปริมาณก๊าซของโลกตอนนี้เริ่มติดขัดแล้ว ต่อให้ไม่ถึงฤดูหนาวยุโรปอาจจะพังพาบเอาง่ายๆ
ฤดูกาลก๊าซของยุโรปนั้นแบ่งเป็น "ฤดูหนาว" กินเวลาระหว่างตุลาคม - มีนาคม และ "ฤดูร้อน" จากเมษายน - กันยายน ช่วงฤดูหนาวความต้องการก๊าซสูงมาก และแต่ไรมาทำให้ยุโรปเลี่ยงจะหาเรื่องรัสซียในช่วงฤดูกาลแบบนี้
ส่วนฤดูร้อนความต้องการก๊าซต่ำ เพราะไม่ต้องใช่ฮีตเตอร์กันมากนัก ช่วงนี้เหมาะกับการหาเรื่องรัสเซีย แต่หาเรื่องแล้วต้องรีบเคลียร์ให้ได้ก่อนเข้าฤดูหนาวถัดไป
แต่ฤดูร้อนคราวนี้ไม่ธรรมดา เพราะการคว่ำบาตรแบบหว่านแหของโลกตะวันตก ทำให้การซื้อขายพลังงานของรัสเซียถูกแช่แข็งไปโดยปริยาย เพราะซื้อของรัสเซียก็ลำบาก ผ่านระบบ SWIFT ก็ไม่ได้ ซื้อไปก็ถูกพวกฝรั่งตะวันตกหมายหัวอีก
ดูเผินๆ เหมือนรัสเซียจะซวยแล้ว แต่ความซวยมาตกกับยุโรปเหมือนกัน
แต่เพราะการคว่ำบาตรแบบไม่ยั้งมือทำให้ปริมาณก๊าซ/น้ำมันน้อยลงมากในพลัน โอเปกยังลูบปากรอไม่ขอเพิ่มกำลังการผลิต เพราะรอโอกาสทองที่ราคาน้ำมันจะแพงแบบนี้มานับสิบปีแล้ว ส่วนอิหร่านที่ยุโรปหวังจะใช้การเลิกคว่ำบาตรมาเป็นตัวต่อรองเพื่อให้ปล่อยน้ำมันแทนที่รัสเซียก็ดันเตะถ่วงการเจรจาโครงการนิวเคลียร์เสียอีก
ยุโรปนั้นร้อนรนมากกับอิหร่าน แต่ก่อนนั้นเป็นฝ่ายเล่นตัวกับการเจรจาโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน แต่ช่วงต้นของสงครามยูเครน ยุโรปกับเร่งเร้าอิหร่านให้รีบคุยเพราะ "รอไม่ได้อีกแล้ว" รออะไรไม่ได้ก็รู้ๆ กันอยู่
ไพ่อิหร่านเหนือกว่ามาก ไม่ใช่แค่กับยุโรป แต่ยังแสดงอาการไม่พอใจรัสเซียด้วยที่เรียกร้องในเวทีเจรจามากเกินไป (คือเรียกร้องเงื่อนไขไม่ให้สหรัฐบีบรัสเซียจนค้าขายกับอิหร่านไม่ได้) เรียกว่าตอนนี้อิหร่านเนื้อหอมสุดๆ แต่จะให้เลือกข้าง อิหร่านย่อมเลือกรัสเซียมากว่าพวกตะวันตก
ตอนนี้ยุโรปกำลังคอตก จึงเงียบไปนานหลายวันกระทั่งมีรายงานว่ายุโรปนั้นเสียงแตกเรื่องคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซียอีกครั้ง ข่าวนี้ท่าจะจริงทำให้เงินรูเบิลดีใจจนแข็งขึ้นมา 25% หรือแข็งขึ้นสูงสุดในหนึ่งวันนับตั้งแต่เดือนกันยายน 1998 จากที่เคยถูกถล่มจนแทบกลายเป็นเศษเงิน
ขณะที่ยุโรปกำลังเจอทางตันในสงครามฤดูหนาว สหรัฐยอมไปคุยกับสหายของรัสเซียอีกรายคือเวเนซุเอลา ผลการเจรจามีวี่แววดี เพราะรัฐบาลเวเนเซุเอลายอมปล่อยตัวประกันอเมริกัน และยอมเจรจากับฝ่ายค้านที่พวกอเมริกันหนุนหลัง แต่ยังไม่ยอมปล่อยน้ำมันออกมา และยังไม่ยอมประณามรัสเซียอย่างที่พวกอเมริกันเรียกร้อง
ทั้งยุโรปและสหรัฐต้องตรองดีๆ แล้วว่าจะเอาตัวรอดจากฤดูหนาวรัสเซียได้จะต้องช่วงชิงน้ำมันจากพันธมิตรรัสเซียมารองรับสถานการณ์โดยเร็วที่สุด ดังนั้นเงื่อนไขเจรจาจะต้องไม่แสดงความเย่อหยิ่งหรือคิดว่าถือไพ่เหนือกว่า หาไม่แล้วพวกนี้จะไม่ยอมทำตาม
แต่ก็มีโอกาสที่แม้พวกนี้จะปล่อยน้ำมันออกมาอย่างที่ชาติตะวันตกต้องการก็จริง ก็อาจปล่อยออกมาพอประมาณ ในทางหนึ่งก็เพื่อพยุงราคาให้สูงต่อไป จะได้เก็บเกี่ยวกำไรได้
ดังนั้น พวกที่พึ่งพาพลังงานจากชาวบ้านเตรียมตัวเตรียมใจรับต้นทุนพลังงานที่แพงตาเหลือกกันได้เลย
ยุโรปอาจจะเจ็บหนักกระทั่งเกิดความแตกแยกในกลุ่มจนตัดสินใจกันคนละทิศละทางได้โดยต้องรอฤดูหนาว เอาแค่ตอนนี้ราคาพลังงานพุ่งทุบสถิติ ของแพงทุบสถิติ เศรษฐกิจอาจะพินาศทุบสถิติได้
บางประเทศอาจจะพูดเอาเท่ๆ ว่า "เพื่อปราบเผด็จการ ประชาชนต้องร่วมกันแบกรับต้นทุนนี้" บางประเทศพยายามใช้โวหารปลุกเร้าบรรยากาศสงคราม เพื่อให้ประชาชนมีอารมณ์ร่วมกับตนหรือเห็นใจ "ทางเลือก" ของรัฐบาลยูเครนมากๆ จะได้ไม่บ่นเรื่องบาดแผลจากการคว่ำบาตรที่ตัวเองโดนด้วย
บางคนวิเคราะห์ไปตามเป้าหมายที่ตัวเองต้องการเช่น หัวหน้านโยบายสภาพภูมิอากาศของสหภาพยุโรปกล่าวว่ายุโรปลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียลงไปพอสมควรแล้ว และแผนดังกล่าวจะ "ลดการพึ่งพาก๊าซของรัสเซียลงอย่างมากในปีนี้ และภายในไม่กี่ปีจะทำให้เราเป็นอิสระจากการนำเข้าก๊าซของรัสเซีย" และบอกว่า “มันไม่ง่าย แต่มันเป็นไปได้”
เขากล่าวแบบนี้เพราะต้องการให้ยุโรปลดการใช้พลังงานฟอสซิลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การการคว่ำบาตรพลังงานรัสเซียสอดคล้องกับเป้าหมายของเขา เพียงแต่มันไม่สมเหตุสมผลทางเศรษฐกิจตอนนี้ที่ในเฉพาะหน้าต้องแบกรับเงินเฟ้อสูงลิ่วและต้องเริ่งกระตุ้นเศรษฐกิจให้โตเร็วๆ หลังจากซบเซาเพราะการระบาดใหญ่
การบอกว่า "ไม่กี่ปี" และ "มันไม่ง่าย" เป็นสิ่งที่นักการเมืองไม่อยากได้ยิน เขาต้องการได้ยินว่ายุโรปจะทนไหวแค่ไหน หากไร้น้ำมันและก๊าซ ซึ่งเห็นแล้วว่าในระยะสั้นนั้นแทบไม่ไหว
ความคลุมเครือยังเห็นได้จากรายงานของ Reuters ว่าผู้นำสหภาพยุโรปอาจเห็นพ้องต้องกันในการประชุมสุดยอดสัปดาห์นี้เพื่อยุติการพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลของรัสเซีย "โดยไม่มีกำหนดวันที่แน่นอน"
ดังนั้น มันจึงมีความแตกแยก (Divisions) ในยุโรป เพราะบางประเทศสมาชิกจึงไม่คิดแบบโลกสวยอย่างนั้น หากประเมินเห็นว่าต้นทุนทางการเมืองสูงเกินไป จนทำให้นักการเมืองที่ตัดสินใจ "กรำศึก" กับรัสเซียถูกประชาชนโค่นล้มผ่านหีบเลือกตั้ง
สัญญาณความรวนเรมีให้เห็นตั้งแต่ก่อนการคว่ำบาตรด้วยซ้ำ พอคว่ำแล้วยิ่งแตกชัด นานวันเข้าหรืออาจไม่นานเดือน ยุโรปอาจมียกธงขาวกันบ้าง
ยุโรปซื้อเวลาได้ถึงตุลาคมปีนี้ ในระหว่างนี้มีตัวเลือกไม่กี่ทางคือ 1. ให้ยูเครนยอมอ่อนข้อตามคำเรียกร้องของรัสเซีย (ซึ่งมีสัญญาณออกมาแล้ว) 2. สู้ต่อไปโดยอัดแคมเปญ "โฆษณาชวนเชื่อ" ให้ประชาชนอินกับการคว่ำบาตรและเห็นใจยูเครน เพื่ออดทนกับผลกระทบกันต่อไป
แล้วรัสเซียล่ะ? "สงครามฤดูหนาวรัสเซีย" นี้รัสเซียกำลังถูกปิดล้อมอยู่ ในสภาวะปิดล้อมนี้ชาติตะวันตกถอนการลงทุนและธุรกิจออกมา ปิดกั้นการเข้าถึงแหล่งเงิน บูลลี่คนรัสเซียภายนอก บีบคั้นคนรัสเซียภายใน รู้ทั้งๆ รู้ว่าปูตินทนได้ จึงอาจมีเจตนาเพื่อให้คนรัสเซียทนรัฐบาลตนเองไม่ไหวจนโค่นรัฐบาลตัวเอง
ผู้เขียนไม่รู้จักคนรัสเซีย ยิ่งตอนนี้โอกาสจะพูดคุยยิ่งยาก แต่จากการลองดูคลิปความเห็นคนรัสเซียที่ถ่ายทำโดยคนรัสเซีย พอจะเดาได้ว่าคนรัสเซียไม่กล้าโค่นปูตินล้านเปอร์เซนต์ แม้แต่ถามว่า "กล้าคุยเรื่องรัฐบาลไหม?" คนรัสเซียยังตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "เนียต" (ไม่)
ตอนที่ทำสงครามฤดูหนาวคราวที่ผ่านๆ มา ก็ไม่มีวี่แววของการที่คนรัสเซียจะโค่นรัฐบาลเลย ต่อให้ดำเนินยุทธศาสตร์พลาดแค่ไหน เอาคนไปทิ้งที่แนวหน้ามากเพียงใด ดังนั้นชาติตะวันตกไปคาดหวังตรงนี้ไม่ได้
ปูตินไม่ได้แยแสว่าคนภายนอกจะมองเขาอย่างไร ไม่สนว่าสื่อภายนอกจะปั่นข่าวแค่นั้น เพราะสิ่งที่เขาโฟกัสคือการทำให้คนในรัสเซียไม่หือกับเขา คนนอกนั้นย่อมมองเขาเป็นยักษ์มารอยู่แล้ว ป่วยการจะมาแก้ไขอะไร
ดังนั้นปูตินจึงสั่งให้เพิ่มเงินบำนาญขึ้นอีกอย่างรวดเร็ว ซึ่งการเพิ่มเงินบำนาญนั้นเป็นนโยบายชิ้นโบแดงของปูตินมาแต่ไหนแต่ไร จากที่เคยต่ำมาก เขาเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตั้งแต่รับตำแหน่งมา แต่คนนอกมองว่านี่คือการซื้อใจประชาชน (หรือปิดปาก) อย่างหนึ่ง
ปูตินยังสั่งให้อำนาจประชาชนทั่วไปและธุรกิจ SMEs ในการขอให้ระงับการจ่ายหนี้ชั่วคราวได้
นี่คืออาวุธในการทำศึกยืดเยื้อและรับการปิดล้อมของชาติตะวันตก รอจนกว่าฤดูหนาวจะมาเยือน
ขณะที่ประชาชนรัสเซียนอกจากจะไม่หืออือแล้ว (มีต้านสงครามกันบ้างแต่ในระดับที่ไม่กว้างขวางนัก) Council on Foreign Relations ในสหรัฐยังประเมินว่า "ชาวรัสเซียบางคนเชื่อว่าการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ผู้นำที่อยู่เบื้องหลังสงครามเท่านั้น แต่เป็นการบ่อนทำลายเศรษฐกิจ โดยมุ่งที่ชาวรัสเซียทั้งหมด"
เมื่อคนรัสเซียคิดแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ โลกตะวันตกจะไม่ได้ทำสงครามกับแค่ปูตินอีก แต่ทำกับคนรัสเซียทั้งประเทศ แต่ตะวันตกก็ยังเชื่อว่าพลังประชาชนรัสเซียจะคล้อยตามเกมส์พวกเขา และโค่นปูติน
ดูตัวอย่างการลุกฮือต่อต้านผลการเลือกตั้งในเบลารุสเถิด เกิดก่อนการรุกรานยูเครนไม่กี่เดือน ตอนนั้นตะวันตกคงคิดว่าจะลากผู้นำเบลารุสผู้สนิทสนมกับปูตินลงจากอำนาจได้ ไปๆ มาๆ รัสเซียเข้าไป "ช่วย" สถานการณ์ที่เกือบจะกลายเป็นการปฏิวัติก็ดับลงในพลัน ทำให้เบลารุสกลายเป็นฐานที่มั่นของการรุกรานยูเครนต่อไป
รวมถึงการลุกฮือในคาซักสถานไม่กี่เดือนก่อนสงครามยูเครนเช่นกัน วุ่นวายจนกลัวกันว่ารัฐบาลจะไม่รอด พอรัสเซียส่งกำลังไป "ช่วย" รักษาความสงบอีกรอบ ตอนนี้คาซักสถานเงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมผู้นำยังโวยว่าความวุ่นวายนี้เป็นฝีมือปลุกปั่นของ "คนนอก"
"คนนอก" ที่ว่านี้มีอยู่จริงหรือไม่ แล้วเป็นใคร ต้องลองขบคิดกันเอาเอง
ป.ล. - ขณะที่ตะวันตกกำลังปิดล้อมรัสเซียทางเศรษฐกิจ รัฐบาลยูเครนก็กล่าวหาว่ารัสเซียใช้กลยุทธ์การรบแบบปิดล้อม (Siege Tactics) และกล่าวว่าเป็นแท็กติกการปิดล้อมแบบยุคกลาง (medieval siege tactics) ซึ่งไม่เหมือนกับการรบยุคใหม่ที่ไม่ค่อยเสียเวลาปิดล้อมโดยยอมเสียเวลานานๆ กันแล้ว แต่จะบุกเข้าไปเลย หรือระเบิดปูพรมด้วยซ้ำ
เราจะเห็นว่ารัสเซียปิดล้อมเคียฟเมืองหลวงและคาร์กิวเมืองใหญ่อันดับสองโดยไม่ยอมบุกเข้าไป ล้อมมันอย่างนั้นนานหลายวันแล้วทั้งๆ จะเข้าไปก็ได้ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญตะวันตกบางคนเย้ยว่ารัสเซียไม่มีน้ำยาแล้ว
แต่พวกนั้นลืมดูไปว่ารัสเซียกินพื้นที่ไปเรื่อยๆ ที่ภาคใต้ จนกระทั่งเมืองออแดซาเริ่มกลัวว่าจะถูกปิดล้อมกันแล้ว เห็นได้ชัดว่ารัสเซียใช้วิธีปิดล้อมเมืองใหญ่แต่ไม่ยึด พร้อมกับปิดล้อมยูเครนทั้งประเทศด้วยการตัดทางออกทะเล ไม่ใช่การบุกม้วนเดียวจบอันเป็นแท็กติก "สมัยใหม่" ที่พวกตะวันตกนิยมใช้กัน
จับตาดูให้ดีเถิด "แท็กติกการปิดล้อมแบบยุคกลาง" นี่แหละที่รัสซียกำลังซ้อมมือกับยูเครน ยุโรปกำลังถูกดึงเข้าสู่แท็กติกนี้เช่นกันโดยปริยาย หากลากยาวถึงฤดูหนาวครั้งใหม่ การปิดล้อมของรัสเซียจะยิ่งสร้างความเจ็บปวดยิ่งขึ้น
แต่หากยุโรปผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้ แผนการลดการพึ่งพารัสเซียด้านพลังงานก็อาจเป็นความจริงได้ แต่ถ้าประเมินว่าทำไม่ได้และมีแรงต้านจากภายใน (แม้จะมีมติเห็นพ้องบนหน้ากระดาษก็ตาม) ยุโรปก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก "ยอม" รัสเซียในระดับหนึ่ง
เว้นแต่จะมี "คนนอก" เข้ามาบีบคั้นให้สถานกรณ์ของยุโรปและยูเรเซียเป็นอื่นไป
โดย กรกิจ ดิษฐาน
Photo - Sputnik/Mikhail Klimentyev/Kremlin via REUTERS


