มีอะไรที่สำคัญกว่าเพชร? เหตุผลที่ซาอุฯ ต้องคืนดีกับไทย
วิเคราะห์เหตุผลและผลของการฟื้นคืนสัมพันธ์ครั้งนี้ จากทัศนะเชิงข่าวต่างประเทศและความเคลื่อนไหวที่ผ่านมาของทั้งสองฝ่าย และประเทศอื่นๆ รอบๆ ไทยกับซาอุดีอาระเบีย
• ถึงเวลานี้คงไม่ต้องสาธยายกันแล้วว่า "กรณีเพชรซาอุฯ" คืออะไรและสำคัญอย่างไร เพราะคนไทยจำนวนมากคงรู้กันดี เพียงแต่มันมีปริศนาคาใจมานานสามทศวรรษแล้วว่า "ตกลงมันไปอยู่ในมือใคร?" ท่ามกลางกระแสข่าวลือที่ไม่เคยจบสิ้น แม้กระทั่งในวันที่ซาอุดีอาระเบียและประเทศไทยตัดสินใจรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตเต็มรูปแบบอีกครั้ง
• ทำไมถึงต้องรอนานถึง 30 กว่าปีกว่าจะคืนดี? ที่จริงแล้วไทยไม่เคยรอให้ซาอุดีอาระเบียคืนดีเอง แต่เป็นพยายามหลายครั้งหลายหนที่จะสะสางเรื่องคาใจนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยคนแล้วคนเล่าของรัฐบาลสมัยแล้วสมัยเล่าเดินทางไปซาอุดีอาระเบียเพื่อหารือด้วยตนเองในประเด็นต่างๆ หลังจากความสัมพันธ์ถูกลดระดับลงเหลือแค่เพียงอุปทูต
• ขณะที่ซาอุฯ เองก็มีความเปลี่ยนแปลงด้านฝ่ายบริหารหลายครั้งไม่ต่างจากไทย ทั้งระดับสมเด็จพระราชาธิบดี (ซาอุดีอาระเบียปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กษัตริย์มีสถานะประหนึ่งนายกรัฐมนตรี) และระดับมกุฏราชกุมาร (ซึ่งมีสถานะเทียบรองนายกรัฐมนตรี หรือบางครั้งเป็นเสมือนผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์)
• แต่การเปลี่ยนตัวระดับนำในซาอุฯ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย เพราะประมุขและผู้นำฝ่ายบริหารล้วนแต่คิดเหมือนกันๆ และโดยตามธรรมเนียมในการแต่งตั้งระดับผู้นำจะต้องมีวัยใกล้กันๆ คืออาวุโสสูง/ผู้สูงวัยเกือบทั้งสิ้น จนซาอุดีอาระเบียถูกมองว่าเป็น "สังคมที่ปกครองโดยผู้สูงวัย" คิดอะไรย่ำอยู่กับที่
• จนกระทั่งซาอุดีอาระเบียเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน ทรงแต่งตั้ง มุฮัมมัด บิน ซัลมาน พระโอรสขึ้นเป็นมกุฏราชกุมาร และทรงถอดพระญาติคือมุฮัมมัด บิน นาเยฟจากตำแหน่ง การถอดและตั้งมกุฏราชกุมารในซาอุฯ เกิดขึ้นประปราย มีความเกีย่วข้องกับเรื่องวัยและอายุของผู้ดำรงตำแหน่งมากกว่าเรื่องการเมือง (อย่างที่กล่าวไปว่าซาอุฯ ปกครองโดยกลุ่มเชื้อพระวงศ์อาวุโสมาก) แต่กรณีของตั้ง มุฮัมมัด บิน ซัลมาน ทรงขึ้นเป็นมกุฎราชกุมารด้วยเหตุผลทางการเมืองมากกว่า และที่สำคัญมีพระชนมายุน้อยมากเพียง 37 พรรษา (หรือ 32 พรรษาคราวที่รับตำแหน่ง)
• มุฮัมมัด บิน ซัลมานทรงมีอิทธิพลสูงมากและว่ากันว่าทรงมีอิทธิพลที่แท้จริงในประเทศมากกว่าพระราชบิดาเสียอีก (อ่านเพิ่มเติมจากเรื่อง "ผู้ยิ่งใหญ่คับฟ้าแห่งซาอุฯ มกุฏราชกุมาร 'โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน') ทรงใช้อำนาจที่แข็งกร้าวในการกวาดล้างผู้ที่อาจเป็นเสี้ยนหนามอำนาจ จับกุมตัวบุคคลสำคัญของประเทศมากมาย และปรับโครงสร้างการบริหารประเทศเสียใหม่
• แต่จุดเด่นของพระองค์คือการผลักดันซาอุฯ สู่ทิศทางใหม่ในอนาคต จากเดิมที่พึ่งพาน้ำมันเป็นหลัก หันมากระจายการลงทุนที่หลากหลายขึ้น เพราะอนาคตของน้ำมันไม่แน่นอนขึ้นทุกวัน หลังจากทราบกันแล้วว่าน้ำมันคือตัวการของภาวะโลกร้อนที่เลวร้ายลงทุกที
• มุฮัมมัด บิน ซัลมานเคยใช้แทคติกเพื่อดึงน้ำมันให้ถูกลงเพื่อบีบให้ผู้ผลิตรายเล็กล้มละลาย แต่น้ำมันก็ยังผันผวนได้ง่าย และถึงแม้น้ำมันยังทำรายได้สูงและเป็นรายได้หลักของประเทศ แต่อนาคตมันไม่แน่ไม่นอน เมื่อถึงวันที่น้ำมันหมดอนาคตแล้วซาอุดีอาระเบียอาจจะกลายเป็นประเทศจนๆ ในพริบตาถ้าหมดน้ำมันหรือน้ำมันหมดความสำคัญ เช่นเดียวกับ นาอูรู ปรเะทศเล็กๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกที่ร่ำรวยด้วยฟอสเฟตและขุดขายจนมั่งคั่ง ทำให้ประชากรมีรายได้ต่อหัวสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่พอฟอสเฟตหมดสิ้น นาอูรูกลายเป็นประเทศยาจกในทันที
• นี่คือที่มาของ Vision 2030 นโยบายสำคัญของมุฮัมมัด บิน ซัลมาน หัวใจสำคัญคือการเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจพึ่งพาน้ำมันมาเป็นเศรษฐกิจที่ยั่งยืนมากขึ้น ด้านพลังงานหันมาลงทุนพลังงานหมุนเวียน พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง และเทคโนโลยีชีวภาพ โดยเฉพาะการตัดแต่งพันธุกรรม ซึ่งมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับอีกหนึ่งเป้าหมายที่องค์ชายทรงตั้งไว้คือการทำให้ซาอุฯ มีความมั่นคงด้านอาหาร ทั้งการพลิกแผ่นดินทะเลทรายสร้างไร่นาสีเขียว และการทุ่มลงทุนเพื่อรับประกันว่าซาอุฯ จะมีแหล่งอาหารที่มั่นคงในต่างประเทศ
• นักลงทุนซาอุฯ ได้รับการสนับสนุนให้ไปลงทุนในประเทศต่างๆ เพื่อกุมความมั่นคงด้านอาหารโดยรัฐบาลเสนอรายชื่อ 10 ประเทศที่ควรลงทุนในกลุ่มอาหาร/พืชอาหารนั้นๆ กับคนที่ยังคิดว่าน้ำมันคือทุกสิ่งทุกอย่าง อาจคิดว่ามันไม่จำเป็น จนกระทั่งกระแสต่อต้านน้ำมันเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ในเวทีด้านสิ่งแวดล้อมโลก ตามด้วยการลดการใช้น้ำมันของประเทศใหญ่ๆ คนที่เคยคิดว่านโยบายอาหารของซาอุฯ ไม่จำเป็นอาจต้องเปลี่ยนความคิด เพราะเห็นแล้วว่าน้ำมันอาจจะเป็นแหล่งเงินในตอนนี้ แต่ในวันข้างหน้า "ข้าวปลาเป็นของจริงมากกว่า"
• ในช่วงสิบปีกว่ามานี้ ซาอุฯ รุกคืบเรื่องการเสาะหา "ที่ดิน" เพื่อใช้เป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวเพื่อป้อนประเทศตัวเอง เป้าหมายมีทั้งในแอฟริกา (เช่นประเทศมาลีและเซเนกัล) ในตะวันออกกลางด้วยกัน (เช่นในอิรักแถบแม่น้ำไทกริสยูเฟรติส) และในแถบทะเลดำที่อุดมสมบูรณ์ (ประมาณ 10 ประเทศบริเวณนั้น) บริษัทจากซาอุฯ จะไปดีลกับเจ้าของที่ดินในประเทศเหล่านี้ เพื่อให้เพาะปลูกข้าวหรืออาหารจำเป็นเพื่อป้อนซาอุฯ โดยเฉพาะ หรือ Contract farming
• การลงทุนเหล่านี้มีมาก่อน Vision 2030 แต่มันเป็นเหมือนสัญชาติญาณของซาอุฯ ที่ต้องให้ตัวเองมั่นใจว่าจะมีข้าว/อาหารเพียงพอดำเนินการมาก่อนหน้านั้นหลายปีแล้ว และอันที่จริงไทยเคยเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการกว้านซื้อที่ดินเพื่อทำ Contract farming เพื่อผลิตข้าวให้ซาอุฯ มาแล้ว ในสมัยของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร (กล่าวกันว่าเป็นการริเริ่มของนายกรัฐมนตรียุคนั้น) แต่โครงการนี้ถูกต่อต้านอย่างหนัก นี่คือตัวอย่างหนึ่งในการรุกคืบเรื่องนี้ของซาอุฯ และเกือบจะทำให้ไทยขยับเข้าใกล้ซาอุฯเข้ามาอีกนิดหนึ่งในยุคสมัยหนึ่ง
• หลังจากมี Vision 2030 ของมกุฏราชกุมารมุฮัมมัด บิน ซัลมาน ประเทศแรกๆ ที่ทรงติดต่อเพื่อผลักดันความมั่นคงด้านอาหารคืออินเดียเมื่อปี 2019 โดยเป็นการช่วยกันพึ่งพา ฝ่ายหนึ่งพึ่งพาแหล่งข้าว อีกฝ่ายหนึ่งพึ่งพาแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซาอุฯ นั้นยกยออินเดียว่าเป็นแหล่งข้าว เนื้อแดง น้ำตาล เครื่องเทศ และนมผงที่ดีที่สุดสำหรับซาอุฯ (อาหารเหล่านี้ไทยก็สามารถส่งออกได้ดี) ในส่วนของข้าวนั้นซาอุฯ เน้นข้าวบาสมตีถึง 70% (ข้าวเมล็ดยาว) และ 70% นี้มาจากอินเดีย ส่วนข้าวเจ้า 10% เคยมาจากไทย
• น่าสนใจว่าการฟื้นสัมพันธ์กับไทยในครั้งนี้ หนึ่งในเหตุผลของซาอุฯ จะเกี่ยวข้องการการเสาะหาดินแดนที่จะช่วยรับประกันความมั่นคงด้านอาหารหรือไม่? แม้จะยังไม่มีคำตอบชัด แต่จนถึงทุกวันนี้ มีเพียงอินเดียเท่านั้นที่ซาอุฯ ประกาศกระชับความมั่นคงด้านอาหารกับอินเดียในระดับรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจได้เพราะข้าวที่ซาอุฯ นำเข้าส่วนใหญ่มาจากอินเดีย รองลงมาคือปากีสถาน (แหล่งข้าวบาสมตีเช่นกัน) อันดับ 3 คือสหรัฐ และอันดับที่ 4 คือไทย ในบรรดาทั้ง 4 ประเทศนี้การนำเข้าข้าวจาก 3 อันดับแรกเติบโตสูงสุด (สถิติจากปี 2019)
• Vision 2030 ยังมีโครงการก่อสร้างระดับเมกะโปรเจกต์ที่สำคัญคือเมือง Neom ในแคว้นตะบูกริมทะเเลแดงใกล้กับจอร์แดน โดยตั้งเป้าให้เป็นสมาร์ทซิตี้ขนาดมหึมามีพื้นที่ 26,500 ตร.กม. ไปตามแนวริมทะเลแดงยาว 460 กิโลเมตร ใช้เงินลงทุนประมาณ 500,000 ล้านดอลลาร์ มันเป็นเมืองแห่ง Vision 2030 ที่แท้จริง เพราะจะเน้นพลังงานทางเลือก ไม่ใช่น้ำมัน มีเมืองย่อยหลายเมือง เช่น The Line เป็นเมืองแนวยาวความยาว 170 กม. ที่จะไม่มีรถยนต์เลย ดังนั้นมันคือการพลิกซาอุฯ ไปสู่อนาคตที่เลิกพึ่งพาน้ำมันอย่างแท้จริง
• การฟื้นความสัมพันธ์ครั้งนี้จะมีผลดีต่อแรงงานจากไทยโดยตรง เพราะด้วยโครงการ Neom จะทำให้ซาอุฯ ต้องการแรงงานมีฝีมือจำนวนมหาศาล ซึ่งไทยขึ้นชื่อในเรื่องนี้และในช่วงที่ยังร้าวฉานกันนั้นซาอุฯ ก็ยังอุตส่าห์จ้างแรงงานไทยถึง 10,000 คน ซึ่งถือว่ามากพอสมควร แต่มันจะดีหากตัวเลขกลับไปเท่ากับช่วงก่อนกรณีเพชรซาอุและสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรกที่ "ว่ากันว่า" สูงถึง 200,000 คน
• ถามว่าหลังจากนี้เป็นไปได้ไหมที่ตัวเลขจะกลับไปเท่าเดิม? ตอบว่าเป็นไปได้ เพราะโครงการ Neom แห่งเดียว เพิ่งจะมีการประมูลสัมปทานโครงการสร้างที่พักให้คนงานถึง 100,000 คนเมื่อปีที่แล้ว (โดยเมืองย่อยจะแบ่งที่พักอาศัยคนงานไซต์ละ 10,000 คน) หมายความว่าการสร้างเมืองแห่งนี้ต้องใช้แรงงานประมาณนั้น และแรงงานไทยหลายหมื่นอาจมีโอกาสได้ทำมาหากินที่นี่ แน่นอนมันจะช่วยนำเงินเข้าไทยได้ปีละอาจจะนับพันล้านดอลลาร์ (จากที่ไทยต้องเสียโอกาสไปถึง 200,000 ล้านดอลลาร์)
• อีกหนึ่งโอกาสของไทยคือการท่องเที่ยว หลังจากกรณีเพชรซาอุไทยต้องเสียโอกาสจากการต้อนรับนักท่องเที่ยวจากซาอุฯ อย่างเต็มที่มานานถึง 30 กว่าปี ท่ามกลางมาตรการห้ามกันซึ่งๆ หน้าจากทางการซาอุฯ ไม่ให้ประชาชนเดินทางมายังไทย ไปจนถึงการเตือนไม่ให้มา และหากจะมาก็มีความยุ่งยากเกินไป ทำให้ไทยเสียรายได้มหาศาลจากนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูงจากประเทศเศรษฐีน้ำมันแห่งนี้
• แต่หลังจากนี้ การเดินทางระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศจะสะดวกเช่นเดิม เพราะหลังการพบปะระหว่างมกุฏราชกุมารมุฮัมมัด บิน ซัลมานกับพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา สายการบินซาอุดิอาระเบียก็ประกาศว่าเที่ยวบินสู่ประเทศไทยจะกลับมาให้บริการในเดือนพฤษภาคม
• มีข้อพึงสังเกตว่าแม้ไทยจะดูเหมือนเป็นฝ่ายพยายามคืนดีมากกว่า แต่ซาอุฯ ก็พยายามจะสะสางเรื่องคาใจเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะเสียดายการลงทุนมหาศาลที่ต่างเสียกันไป แต่เพราะมีเงื่อนไขทางการเมืองด้วย เช่น ตามทัศนะของแฟรงค์ จี. แอนเดอร์สัน (Frank G. Anderson) คอลัมนิสต์ของสำนักข่าว UPI ตั้งข้อสังเกตไว้ตั้งแต่ปี 2009 ว่าในเวลานั้นซาอุฯ กับไทยดูเหมือนจะเลิกเย็นชากันเล็กน้อย เชื่อว่าเพราะการชิงดีชิงเด่นระหว่างซาอุดีอาระเบียกับอิหร่าน โดยที่อิหร่านเริ่มมีอิทธิพลต่อไทยมากขึ้น ขณะที่ซาอุฯ เสียโอกาสเข้าถึงไทยเพราะกรณีเพชร
• ผ่านมา 10 กว่าปี ทฤษฎีนี้ก็อ่อนพลังลงไปตามกาลเวลา แต่ตอนนี้ซาอุฯ ต้องการจะจัดการกับอิทธิพลอิหร่านมากกว่าช่วงเวลาใด เพราะอิหร่านคือแบ็คอัพให้กับกองกำลังฮูษีในเยเมน กองกำลังนี้กลายเป็นนักรบสงครามตัวแทนของอิหร่านในการโจมตีซาอุฯ อยู่เนืองๆ ซึ่งก็พอเข้าใจได้ เพราะผู้ที่เป็นตัวตั้งตัวตีส่งกำลังซาอุฯ ไปแทรกแซงสถานการณ์ในเยเมนก็คือมกุฏราชกุมารมุฮัมมัด บิน ซัลมานนั่นเอง
• แม้ไทยคงไม่มีบทบาทอะไรอีกแล้วในมิติการเมืองระหว่างอิหร่าน-ซาอุฯ แต่ยังมีผู้กังวลว่าการคืนดีระหว่างไทยกับซาอุฯ นั้นจะทำให้ไทยเป็นเป้าการก่อการร้าย (จากกลุ่มฮูษี) หรือไม่? ขอตอบว่าไม่ เพราะฮูษีไม่ใช่กลุ่มก่อการร้ายอีกต่อไปและมีปฏิบัติการแค่ในซาอุฯ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ซึ่งเป็นคู่กรณีเท่านั้น (แต่สหรัฐพยายามจะกำหนดให้เป็นกลุ่มก่อการร้ายอีกครั้ง)
• สำหรับบางคนในเมืองไทยที่ยังกังขากับกรณีเพชรซาอุฯ ก็คงจะห้ามความกังขาไม่ได้ แต่ดูหมือนว่าซาอุฯ ที่เป็นโจทก์กับไทยจะ "มูฟออน" ไปแล้ว โดยไม่ต้องถามว่ารัฐบาลไทยอยากจะมูฟออนหรือไม่ เพราะพยายามมาหลายคนจนสำเร็จเสียที (ซึ่งไทยจะทำสำเร็จไม่ได้ถ้าไม่มีความเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคนในซาอุฯ)
• ดังนั้น หากบางคนยังสงสัยเรื่องเพชรซาอุที่มีมูลค่า 20 ล้านดอลลาร์ก็คงต้องสงสัยกันต่อไป ขณะที่รัฐบาลสองประเทศและพลเมืองสองชาติที่เตรียมรับทรัพย์ พร้อมเดินหน้าเพื่อโกยความมั่งคั่งร่วมกันมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในอนาคตอีกไม่นาน
บทวิเคราะห์โดย กรกิจ ดิษฐาน
Photo by various sources / AFP