posttoday

WHO ยันวัคซีนจีนป้องกันการป่วยหนักจาก Omicron

06 มกราคม 2565

ผู้เชี่ยวชาญ WHO ชี้ Sinovac-Sinopharm ช่วยป้องกันการป่วยหนัก-เสียชีวิตจาก Omicron

เว็บไซต์ข่าว South China Morning Post และ The National รายงานว่าดร.อับดี มาฮามุด จากฝ่ายจัดการด้านโรคอุบัติใหม่ขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่าวัคซีนโควิด-19 ของ Sinopharm และ Sinovac สามารถป้องกันการป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลและการเสียชีวิตจากการติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนได้

มาฮามุดกล่าวว่าแม้ว่าโอมิครอนจะสามารถหลบเลี่ยงแอนติบอดีทำให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วมีโอกาสติดเชื้อได้ แต่มีหลักฐานว่าวัคซีนยังคงป้องกันอาการเจ็บป่วยรุนแรง การรักษาในโรงพยาบาล และการเสียชีวิต รวมถึงวัคซีนชนิดเชื้อตายของ Sinopharm และ Sinovac

"วัคซีนได้รับการจัดอันดับแตกต่างกันในแง่ของการป้องกันการติดเชื้อ แต่สิ่งที่เราทราบขณะนี้คือวัคซีนทั้งหมดป้องกันการเสียชีวิต รวมถึงอาการป่วยรุนแรง" มาฮามุดกล่าวพร้อมเสริมว่า "ร่างกายมนุษย์มีภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกัน เมื่อแอนติบอดีไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ T-cells จะสามารถสร้างการป้องกันอีกชั้นหนึ่งได้"

มาฮามุดกล่าวก่อนหน้านี้ว่ามีหลักฐานเพิ่มเติมที่แสดงให้เห็นว่าโอมิครอนส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบนของผู้ติดเชื้อ มากกว่าที่จะลงปอด จึงมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการป่วยรุนแรงน้อยกว่าการติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา

อย่างไรก็ตาม ศักยภาพในการแพร่เชื้อของโอมิครอนทำให้เชื้อสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า ส่งผลให้กลายเป็นสายพันธุ์หลักในหลายพื้นที่ภายในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนในระดับต่ำ

เมื่อถูกถามว่าจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องมีวัคซีนสำหรับโอมิครอนโดยเฉพาะ มาฮามุดกล่าวว่ายังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ แต่เน้นย้ำว่าการตัดสินใจต้องมีการประสานงานทั่วโลก ไม่ควรปล่อยให้ผู้ผลิตวัคซีนตัดสินใจเพียงลำพัง

ทั้งนี้ แถลงการณ์ล่าสุดนี้เกิดขึ้นไม่กี่วันหลังจากที่มีการเผยแพร่ผลการศึกษาจากนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเยล ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขสาธารณรัฐโดมินิกัน และสถาบันอื่นๆ พบว่าวัคซีนของ Sinovac 2 เข็มกระตุ้นด้วย Pfizer-BioNTech สร้างการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อโอมิครอนต่ำกว่าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ และผลการศึกษาอีกฉบับชี้ว่าวัคซีนของ Sinovac 3 เข็มผลิตแอนติบอดีไม่เพียงพอต่อการป้องกันการติดเชื้อโอมิครอน

Photo by Rami al SAYED / AFP