posttoday

จัมเซตจี ทาทา จากคนยากจนสู่ผู้สร้างอาณาจักร TATA Group

27 ตุลาคม 2564

จัมเซตจี ทาทา นักอุตสาหกรรมผู้บุกเบิกบริษัทที่ต่อมากลายเป็น TATA Group เครือบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย

1. จัมเซตจี ทาทา (Jamsetji Tata) ได้รับการยกย่องว่าเป็น "บิดาแห่งอุตสาหกรรมของอินเดีย" เขาเป็นนักอุตสาหกรรมผู้บุกเบิกบริษัทที่ต่อมากลายเป็น TATA Group เครือบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย

2. ทาทามีอิทธิพลมากในโลกอุตสาหกรรมอินดีย จนได้รับการขนานนามจากชวาหะร์ลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru) อดีตนายกรัฐมนตรีอินเดียว่าเป็น "One-Man Planning Commission" (ชายที่ทำงานคนเดียวแต่วางแผนได้เหมือนคนทำงานเป็นกลุ่ม) และยังเชิดชูความกล้าหาญและวิสัยทัศน์ของทาทา ว่าสมควรแล้วที่ชาวอินเดียควรให้เกียรติและจดจำเขาในฐานะหนึ่งในผู้สร้างที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจอินเดียสมัยใหม่ เพราะการลงทุนของเขาได้เปลี่ยนแปลงโลกธุรกิจของอินเดีย

3. ทาทาเกิดในตระกูลนักบวชที่ยากจน แต่พ่อของเขาเป็นผู้ก้าวเข้าสู่เส้นทางนักธุรกิจเป็นคนแรกของตระกูล โดยก่อตั้งบริษัทการค้าเพื่อการส่งออกในมุมไบ ทำให้ทาทาได้ซึมซับมาจากพ่อของเขา

4. พ่อแม่ของทาทาเล็งเห็นว่าเขามีพรสวรรค์ในการคิดเลขตั้งแต่เด็ก จึงสนับสนุนให้เขาได้รับการศึกษาแบบตะวันตกที่ทันสมัยมากขึ้น เขาจึงย้ายไปอยู่กับพ่อที่มุมไบตั้งแต่อายุ 14 ปี และสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยเอลฟินสโตน (Elphinstone College) และได้แต่งงานในขณะที่ยังเป็นนักศึกษา

5. หลังจากเรียนจบ ทาทาทำงานให้กับบริษัทการค้าเพื่อการส่งออกของพ่อ และมีส่วนช่วยในการสร้างสาขาที่แข็งแกร่งในจีน ญี่ปุ่น และประเทศต่างๆ ในยุโรป รวมถึงสหรัฐอเมริกา

6. พ่อของทาทาเดินทางไปประเทศจีนเป็นประจำเพื่อทำความคุ้นเคยกับการค้าฝิ่น และต้องการให้ลูกชายเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจนี้ด้วย ทาทาจึงถูกส่งไปยังประเทศจีนเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจที่นั่น และนี่ทำให้เขาตระหนักได้ว่าอุตสาหกรรมฝ้ายกำลังเฟื่องฟูและมีโอกาสทำกำไรมหาศาล

7. ทาทาทำงานในบริษัทของพ่อจนกระทั่งอายุ 29 ปี และเริ่มก่อตั้งบริษัทของตัวเองในปี 1868 ด้วยเงินลงทุน 21,000 รูปี โดยเริ่มจากการลงทุนซื้อโรงงานน้ำมันที่ล้มละลายและเปลี่ยนเป็นโรงงานทอผ้า ก่อนที่จะขายเพื่อนำกำไรไปต่อยอดทำธุรกิจอื่นๆ ซึ่งเขามีความฝันที่จะทำธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ, โรงแรม สถาบันการศึกษา และโรงงานเหล็ก

8. หลังจากนั้น ทาทาได้ก่อตั้งโรงงานอีกหลายแห่งรวมถึงโรงงานฝ้าย Empress Mill เมื่อครั้งที่ราชินีวิกตอเรียได้รับการประกาศให้เป็นจักรพรรดินีแห่งอินเดีย และ Advance Mills โรงงานที่มีเทคโนโลยีสูงที่สุดแห่งหนึ่งในขณะนั้น

"ความเข้มแข็งในการปกป้องเสรีภาพนั้น สามารถเกิดขึ้นจากการพัฒนาอุตสาหกรรม และการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ" ทาทากล่าว

9. นอกจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแล้ว การลงทุนของทาทาทำให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจแก่ชุมชน และเป็นคนสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอและฝ้ายในอินเดีย

10. ทาทาต้องการผลิตผ้าที่มีคุณภาพเทียบได้กับผ้าแมนเชสเตอร์ เพื่อลดการนำเข้าจากต่างประเทศ และต้องการให้อินเดียเป็นผู้ผลิตหลักของผ้าชั้นดี และกลายเป็นผู้ส่งออกในที่สุด ซึ่งเขาได้ทดลองวิธีต่างๆ เพื่อปรับปรุงคุณภาพการเพาะปลูกฝ้ายในอินเดีย

"หลายคนทำงานเพื่อให้หลุดพ้นจากการเป็นทาส แต่ทาทาทำงานเพื่อสร้างชีวิตความเป็นอยู่และเศรษฐกิจที่ดีขึ้น" ซากีร์ ฮุสเซน (Zakir Husain) อดีตประธานาธิบดีอินเดียกล่าว

11. จนกระทั่งในปี 1903 ทาทาสามารถก่อตั้งธุรกิจโรงแรม Taj Mahal Hotel ได้สำเร็จตามความใฝ่ฝัน ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งแรกในอินเดียที่มีระบบไฟฟ้า

12. นอกจากนี้ ทาทายังได้บริจาคเงินจำนวนมหาศาล และติดอันดับรายชื่อผู้ใจบุญชั้นนำของโลกในศตวรรษที่ 20 ซึ่งเขาได้บริจาคเงินไปทั้งหมดเกือบ 102,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนที่จะเสียชีวิตลงในปี 1904

"เขาไม่ใช่คนที่ต้องการอยู่ในสายตาของสาธารณชน เขาไม่ชอบการชุมนุมสาธารณะ ไม่สนใจที่จะกล่าวสุนทรพจน์ ไม่ต้องการประจบประแจงใคร ไม่แสวงหาเกียรติและไม่อ้างสิทธิ์ แต่ความก้าวหน้าของอินเดียและประชาชนนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นเพราะความปรารถนาอันแรงกล้าของเขา" The Times of India กล่าวภายหลังการเสียชีวิตของทาทา

13. ต่อมา โดรับจิ ทาทา (Dorabji Tata) ผู้เป็นลูกชายเข้ามาสานต่อความฝันของพ่อ โดยได้เริ่มต้นธุรกิจเหล็ก TATA Steel ซึ่งเป็นบริษัทเหล็กแห่งแรกของเอเชียและใหญ่ที่สุดในอินเดีย และกลายเป็นบริษัทเหล็กที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลกหลังจากเข้าซื้อกิจการ Corus Group ซึ่งผลิตเหล็กได้ 28 ล้านตันต่อปี

15. ภายใต้การนำของทายาทรุ่นที่ 3 เจ.อาร์.ดี ทาทา (J.R.D. Tata) สามารถทำให้มูลค่าของธุรกิจในเครือ TATA Group เติบโตเป็นร้อยเท่า ทั้งจากการก่อตั้งธุรกิจใหม่ขึ้นมาเอง การเข้าถือหุ้นในบริษัทอื่น และการเข้าซื้อกิจการอย่าง Jaguar Land Rover รถยนต์หรูสัญชาติอังกฤษ

14. TATA Group ต่อยอดเพื่อให้ครอบคลุมธุรกิจหลากหลายประเภทมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึง บริษัทไฟฟ้า TATA Power ซึ่งปัจจุบันเป็นบริษัทไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ที่สุดของอินเดีย โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งมากกว่า 8000MW, บริษัทรถยนต์ TATA Motors, บริษัทเคมีภัณฑ์ TATA Chemicals, บริษัทโทรคมนาคม TATA Communications, บริษัทอีคอมเมิร์ซ TATA Cliq, บริษัทรับเหมาก่อสร้าง TATA Projects Limited, ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค TATA Consumer Products, ธุรกิจที่ปรึกษา TATA Consultancy Services, ผู้ให้บริการทางการเงิน TATA Capital, ผู้ให้บริการดาวเทียม TATA Sky, สายการบิน TajAir และ Vistara และสถาบันวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นสถาบันชั้นนำของอินเดียด้านการวิจัยและการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น

"ปัจจุบันไม่มีชาวอินเดียคนไหนทำเพื่อการค้าและอุตสาหกรรมของอินเดียมากไปกว่านี้แล้ว" ลอร์ดเคอร์ซอน (George Curzon) อุปราชแห่งอินเดียกล่าวภายหลังการจากไปของทาทา

Photo by TATA