posttoday

"เงินดิจิทัลจะยึดอนาคตเราเป็นตัวประกัน" มุมมองของนักต่อต้านรัฐ

11 ตุลาคม 2564

เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน (Edward Snowden) ผู้โด่งดังจากการเปิดเผยข้อมูลลับของ NSA และ Five Eyes คราวนี้เข้าอัดเงินดิจิทัลของธนาคารกลางว่าเป็นภัยเสี่ยงต่อชาวโลก

ในขณะที่หลายคนตั้งตารอรายงานของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เกี่ยวกับเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง หรือ CBDCs เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดนสวนกระแสโดยเตือนให้ระวังแนวโน้มนี้โดยกล่าวว่าเป็น "ภัยอันตรายใหม่ล่าสุดที่กำลังจ่อจะครอบงำสาธารณชน"

เขาชี้ว่าเพราะมันใช้ระบบและรูปแบบเดียวกับคริปโตเคอร์เรนซี่ เพียงแต่รัฐจะเข้ามาแทรกแซงทุกธุรกรรมของเราผ่านระบบรวมศูนย์ ต่างจากคริปโตฯ ที่เป็น DeFi หรือการเงินแบบกระจายอำนาจที่ไม่รวมศูนย์ และทุกคนมีอิสรเสรีที่จะทำธุรกรรม

"ผู้สนับสนุน CBDCs โต้แย้งว่าสกุลเงินที่มีการรวมศูนย์อย่างเคร่งครัดเหล่านี้คือการทำให้เกิดมาตรฐานใหม่ที่ชัดเจน ไม่ใช่มาตรฐานทองคำหรือมาตรฐานเงิน หรือแม้แต่มาตรฐานบล็อกเชน แต่บางอย่างเหมือนกับมาตรฐานตารางการทำงานที่ธนาคารกลางทุกแห่งออก ซึ่งเงินดอลลาร์ที่ธนาคารกลางออกจะถือโดยบัญชีที่จัดการโดยธนาคารกลางซึ่งบันทึกไว้ในบัญชีแยกประเภทของรัฐขนาดใหญ่ที่สามารถกลั่นกรองและแก้ไขได้อย่างต่อเนื่อง" สโนว์เดน กล่าวในบทความชื่อ Your Money AND Your Life: Central Banks Digital Currencies will ransom our future

เขาเสริมว่า ผู้สนับสนุน CBDCs อ้างว่าสิ่งนี้จะทำให้การทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันมีความปลอดภัยมากขึ้น (โดยการขจัดความเสี่ยงของคู่สัญญา) และง่ายต่อการเก็บภาษี (โดยการทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะซ่อนเงินจากรัฐบาล)

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายไม่เห็นดวยกับ CBDC อ้างเรื่อง "ความปลอดภัย" เพราะมันจะทำให้รัฐเป็นผู้กุมอำนาจรายใหม่เพื่อใช้และดูแลทุกๆ ดอลลาร์ที่ใช้จ่าย ทำให้รัฐเป็นศูนย์กลางของปฏิสัมพันธ์ทางการเงิน ยกตัวอย่างที่จีน ซึ่งการห้าม Bitcoin มาพร้อมๆ กับการปล่อยเงินหยวนดิจิทัล มีจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจนเพื่อเพิ่มความสามารถของรัฐในการ "เป็นตัวกลาง" เพื่อกำหนดตัวเองเป็นตัวกลางของทุกธุรกรรม

"“คริปโต” นี้ ซึ่งเทคโนโลยีส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นเพื่อแก้ไขการรวมศูนย์ที่ตอนนี้คุกคามมัน ... อย่างไรก็ตาม สำหรับธนาคารแบบดั้งเดิม ไม่ต้องพูดถึงรัฐที่ควบคุมสกุลเงินแห่งชาติ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ คู่แข่งด้านคริปโตที่ผงาดขึ้นมาหล่านี้แสดงถึงการปฏิวัติยุคสมัย มันให้คำมั่นว่าจะมีการจัดเก็บและเคลื่อนย้ายมูลค่าที่ตรวจสอบได้โดยไม่ขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากรัฐ และทำให้ผู้ใช้ของตนอยู่นอกเหนืออำนาจแห่งรัฐ การขัดขวางต่อการค้าเสรีดังกล่าวมักถูกปกปิดไว้ภายใต้ความห่วงใยแบบพ่อห่วงลูก โดยรัฐอ้างว่าหากไม่มีตนเป็นตัวกลางด้วยความห่วงใยแล้ว ตลาดย่อมตกอยู่ในภาวะการเดิมพันที่ผิดกฎหมายและเป็นแหล่งซ่อมสุมของการฉ้อโกงภาษี ยาเสพติด ข้อตกลงและการซื้อขายอาวุธ" สโนว์เดนกล่าว

กับข้ออ้างว่าคริปโตจะเป็นแหล่งฟอกเงินนั้น สโนว์เดนอ้างข้อมูลของรัฐมาสวนกลับเอง โดยยกหลักฐานจากสำนักงานการจัดหาเงินทุนของผู้ก่อการร้ายและอาชญากรรมทางการเงินของกระทรวงการคลังสหรัฐที่ระบุว่า "แม้ว่าสกุลเงินเสมือนจะใช้สำหรับการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย แต่ปริมาณมีน้อยเมื่อเทียบกับปริมาณของกิจกรรมที่ผิดกฎหมายผ่านบริการทางการเงินแบบดั้งเดิม"

สโนว์เดนจึงแสดงความเห็นว่า สหรัฐไม่จำเป็นต้องพัฒนา CBDC ของตัวเอง แต่เขาชี้ว่าธนาคารแบบดั้งเดิมเป็น "อุตสาหกรรมที่เป็นกาฝากและไม่มีประสิทธิภาพอย่างที่สุด ซึ่งใช้ลูกค้าเป็นเหยื่อของตน" และยังมักได้รับการอุ้มชูกจากเฟดไม่ให้ล้มด้วยข้ออ้างว่า"ใหญ่เกินกว่าที่จะล้ม"

"แต่แม้ในขณะที่ธนาคารและอุตสาหกรรมที่ซับซ้อนมีขนาดใหญ่ขึ้น คุณประโยชน์ของมันก็หดหายไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคริปโต ธนาคารพาณิชย์ครั้งหนึ่งเคยรักษาความปลอดภัยให้กับธุรกรรมที่มีความเสี่ยงเป็นพิเศษ รับประกันเอสโครว์ (ระบบการค้ำประกันการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน) และธุรกรรมนั้นย้อนกลับได้ ในทำนองเดียวกัน ถ้าไม่มีธนาคาร เครดิตและการลงทุนก็จะไม่มี และบางทีอาจจินตนาการไม่ได้หากไม่มีมัน วันนี้คุณสามารถเพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านี้ได้ในสามคลิก" สโนว์เดนกล่าว

"โดยสรุป ในสังคมดิจิทัลที่เพิ่มมากขึ้น แทบไม่มีอะไรที่ธนาคารสามารถทำได้เพื่อให้เข้าถึงและปกป้องทรัพย์สินของคุณที่อัลกอริทึมไม่สามารถทำซ้ำและปรับปรุงได้"

Photo by Juan BARRETO / AFP