posttoday

สังคมส่วยๆ ที่ทำให้คนไทยซวยทั้งประเทศ

05 มกราคม 2564

เศรษฐกิจในเงามืดที่มีขนาดใหญ่กว่าเศรษฐกิจในที่แจ้งถึงเกือบครึ่งหนึ่งกำลังสร้างปัญหาที่คาดไม่ถึง

คงไม่มีประเทศไหนอีกแล้วที่การระบาดระลอกใหญ่ของโควิด-19 เกิดขึ้นเพราะธุรกิจมืด คงมีแต่ประเทศที่เศรษฐกิจมืดเฟื่องฟูอย่างประเทศไทยเท่านั้นที่ปล่อยให้เกิดเรื่องทำนองนี้ได้

เป็นเรื่องที่น่าเศร้าและน่าขายหน้าในเวลาเดียวกัน น่าเศร้าที่ประชาชนไทยไม่เพียงแต่ต้องถูกมอมเมาจากธุรกิจมืด แต่ยังต้องถูกโรคระบาดเล่นงานเพราะธุรกิจมืดซ้ำเข้าไปอีก

น่าอายที่รัฐบาลปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาได้ ไม่ใช่แค่รัฐบาลนี้ แต่ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ตามที่ทำเป็นหูหนวกตาบอดกับธุรกิจมืดย่อมมีส่วนรับผิดชอบด้วย เพราะเท่ากับมองไม่เห็นว่ามันจะเป็นภยันตรายอย่าที่กำลังเกิดขึ้นในทุกวันนี้

ใครจะไปเชื่อว่าการค้าแรงงานเถื่อน บ่อการพนัน และแหล่งอโคจรผิดกฎหมายจะทำให้ไทยติดโควิด-19 ได้ขนาดนี้!

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจมืดหรือเศรษฐกิจใต้ดินใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

เศรษฐกิจมืดคืออะไร? มันคือเศรษฐกิจนอกระบบ ไม่เป็นทางการ ไม่ผ่านการเก็บภาษี และในหลายกรณีผิดกฎหมายร้ายแรงแต่ทำเงินมหาศาล มันจึงถูกเรียกว่า Shadow Economy บ้าง Black Economy บ้าง Informal economy บ้าง และบางครั้ง Underground Economy

ชื่อเรียกเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนเลยว่ามันเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ดี แต่ประเทศเราก็ปล่อยให้มันคาราคาซังอยู่แบบนี้มาหลายสิบปีแล้ว

เศรษฐกิจใต้ดินในเงามืดมีทั้งที่เป็นคุณกับประชาชนตาดำๆ คือการค้าขายแผงลอย และที่เป็นคุณกับมิจฉาชีพทั้งที่เป็นมิจฉาชีพโดยอาชีพและมิจฉาชีพในเครื่องแบบ

ที่บอกว่าเศรษฐกิจใต้ดินเป็นคุณกับประชาชนตาดำๆ ก็เพราะมันเปิดโอกาสให้คนจนได้มีโอกาสให้ทำมาหากิน ไม่จำเป็นจะต้องไปหางานทำในระบบคือสมัครงานเป็นลูกจ้างใคร ดังนั้นในประเทศที่งานน้อย คนจนจึงมีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากจากการทำธุรกิจนอกระบบ เช่น การค้าขายแบบบ้านๆ 

อย่างในประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ชอกช้ำน้อยที่สุดในโลกจากการจัดอันดับโดย Misery index ก็เพราะอัตราเงินเฟ้อไม่มากอัตราว่างงานต่ำ ทั้งนี้ก็เพราะคนไทยไม่ค่อยจะว่างงาน แต่ไปทำงานนอกระบบ เช่น ขายของตามตลาดนัดหรือสตรีทฟู๊ดที่ไม่มีการแจ้งเจ้าหน้าที่ให้เก็บภาษีอย่างเป็นกิจจะลักษณะ

เรื่องนี้เราจะละเอาไว้ก่อน เพราะประเด็นที่เราจะพูดถึงคือเศรษฐกิจในเงามืดอีกประเภทที่ไม่เป็นคุณประชาชนและกำลังสร้างโทษให้กับบ้านเมืองอย่างร้ายแรง

เศรษฐกิจในเงามืดของไทยจากตัวเลขของ The Global Economy (ซึ่งทำมาจาก IMF อีกต่อหนึ่ง) ระบุว่ามีสัดส่วนอยู่ที่ 43.12% (ปี 2015) เมื่อเทียบกับขนาดจีดีพีหรือเศรษฐกิจในระบบของประเทศไทย หมายความว่าเศรษฐกิจในเงามืดของไทยมันใหญ่เกือบจะครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจจริงๆ ขณะที่อัตราเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่เพียง 27.78%

เศรษฐกิจส่วนนี้ของไทยยังใหญ่ที่สุดอันดับ 2 รองจากเมียนมา (51%) และยังใหญ่กว่าเวียดนาม (14.8%) และลาว (25%) เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อที่ไทยซึ่งอยู่ในกลุ่มปานกลางรายได้สูง ปล่อยให้เรื่องนอกระบบใหญ่ขนาดนี้ได้

เราไม่มีตัวเลขชัดๆ ว่าในเศรษฐกิจเงามืดรายได้ส่วนไหนที่ใหญ่กว่ากันระหว่างการค้าขายของประชาชนตาดำๆ กับพวก "ธุรกิจบาป" เช่น การค้าประเวณี การพนัน และค้ามนุษย์?

ฟรีดิช ชไนเดอร์ (Friedrich Schneider) นักเศรษฐศาสตร์ผู้เขียนหนังสือเรื่องเศรษฐกิจในเงาบอกว่าเศรษฐกิจส่วนนี้ของไทยรวมถึงส่วนที่ผิดกฎหมาย เช่น การพนันและอาวุธปืน แต่ไม่รวมเอาการค้ายาเสพติดเข้าไปมากนัก

แต่ในกรณีของบ้านเราตอนนี้ เรารู้ว่าการค้าประเวณี การพนัน และค้ามนุษย์คือเหตุแห่งการระบาดครั้งใหญ่ที่กำลังทำลายเศรษฐกิจจริงๆ ให้ย่อยยับแบบที่รัฐบาลต้องก่ายหน้าผากกันเลยทีเดียว

ขอยกตัวอย่างยูเครนที่มีปัญหาเรื้อรังเรื่องธุรกิจนอกระบบ กระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจและการพาณิชย์ประเมินว่ามีขนาดเทียบกับจีดีพีถึง 33% แต่นักเศรษฐศาสตร์บอกว่าน่าจะสูงถึง 40% รัฐบาลยูเครนจึงเดินหน้ากวาดล้างบ่อนและธุรกิจที่ไม่เสียภาษี เรียกว่าไม่ไว้หน้าทั้งธุรกิจบาปและธุรกิจของชาวบ้าน

รัฐบาลยูเครนเริ่มการยกเรื่องในเงามาไว้บนที่แจ้งแล้วจะสำเร็จหรือไม่ก็อีกเรื่อง ที่สำคัญคือพวกเขาได้ลงมือทำแล้ว

ถามว่ารัฐบาลไทยทำไมไม่ทำบ้าง?

เพราะติด "คนกันเอง" ทั้งนั้นนั่นคือตำรวจ กองทัพ นักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งเป็นผู้ทรงอิทธิพลตัวจริงในอาณาจักรผลประโยชน์ในเงาที่มีมูลค่ามหาศาล ที่สร้างความมั่งมีและระบาดไปทั่วพอๆ กับโรคร้าย คือ "บ่อนการพนัน"

ขณะที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ไปจนถึงคนระดับรองนายกรัฐมนตรีบอกว่า "ไม่มีบ่อน"

แต่ตาสีตาสาก็ยังรู้ว่าที่ไหนมีบ่อน ไม่ต้องไปถามถึงนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์จอมแฉเรื่องผลประโยชน์คนมีสี และไม่ต้องไปถามนักวิชาการระดับประเทศอย่างรศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ที่ติดตามเรื่องเศรษฐกิจใต้ดินของคนมีสีมานานหลายปีแล้ว

ที่น่าหัวร่อซ้ำสองก็คือขณะที่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองบอกปัดเป็นพัลวันว่าไม่มีบ่อน แต่กลับมีคนไปเที่ยวบ่อนอยู่ทนโท่ แล้วคนไปเที่ยวก็ยังอมพะนำไม่ยอมบอกว่าไปบ่อนมา ทำให้ไวรัสระบาดไปทั่ว

เอาแค่ก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือน ช่วงสิงหาคมปีที่แล้วเกิดกรณียิงกันตาย 4 ศพที่ "บ่อนเฮียตี้" ย่านพระราม 3 ในช่วงแรกนั้น ผบช.น. กล่าวว่า " สถานที่ดังกล่าวมีการลักลอบเล่นการพนัน แต่ไม่ยืนยันว่าจะเป็นบ่อนการพนันหรือไม่"

เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ผบช.น. ไม่ทราบว่าย่านนั้นไม่มีบ่อน เพราะแม้แต่คนขับแท็กซี่ยังรู้! แถมมันยังเป็นบ่อนใหญ่น้องๆ คาสิโนที่เจ้าของมีเงินหมุนเข้าวันละหลายล้าน

กรณีนั้นรศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ถึงกับกล่าวว่าอย่าไปเอาคาสิโนขึ้นบนดินเลย ให้ปฏิรูปตำรวจก่อนดีกว่า เพราะมันคือต้นเหตุที่แท้จริง

ธุรกิจผิดกฎหมายพวกนี้ยังอยู่ได้ด้วยส่วย เช่น ส่วยนำเข้าคนต่างด้าวมาทำงาน ส่วยเปิดบ่อน ส่วยเปิดซ่อง แม้แต่การหาเช้ากินค่ำของประชาชน อย่างคนขายอาหารริมถนนยังถูกบางหน่วยงานเก็บส่วยกันเป็นล่ำเป็นสัน เศรษฐกิจในเงามืดของเราจึงเป็นเศรษฐกิจที่อยู่ได้ด้วยส่วยโดยเท้

เราจึงอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วย "ส่วย" พูดในภาษาเศรษฐศาตร์การเมืองก็คือพวกหากินกับส่วยคือ "พวกแสวงหากำไรส่วนเกิน" หรือ Rent-seeking ซึ่งเป็นพวกที่แสวงหาความมั่งคั่งโดยไม่ทำการผลิตอะไรขึ้นมา ทำให้รัฐขาดรายได้ ทำให้ประชาชนถูกขูดรีด

พูดภาษาชาวบ้าน Rent-seeking ก็คือพวก "ทำนาบนหลังคน" ประเภทหนึ่งแต่ทำด้วยความฉ้อฉลโดยอาศัยช่องโหว่ในอำนาจรัฐ ยิ่งสังคมนั้นชอบทำอะไรลับๆ บ่อๆ การขูดรีดเอากำไรหรือส่วยจากประชาชนยิ่งมีมาก เพราะมันอยู่ในเงามืดจึงขูดรีดได้ง่ายๆ ไม่ต้องกลัวว่าใครจะเห็น

ดังนั้นเราจึงสรุปได้ว่าเศรษฐกิจในเงามืดเอื้อให้เกิดการคอร์รัปชั่น และการที่รัฐบาลไหนๆ ไม่ยอมทำเรื่องนี้ให้เป็นระบบระเบียบเพราะมันเกี่ยวกับกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองและคนมีสี ขณะเดียวกันหากจะนำคนหาเช้ากินค่ำมาขึ้นทะเบียนเสียภาษีก็เกรงว่าจะทำให้คนเหล่านี้ไม่พอใจจนเสี่ยงต่อคะแนนนิยมไปอีก

เศรษฐกิจในเงามักเป็นคุณลักษณะหนึ่งของประเทศกำลังพัฒนา นั่นคือยังพัฒนาไม่เต็มที่ หากพัฒนาแล้วและบ้านเมืองมีความโปร่งใสจะไม่ปล่อยให้เรื่องนอกระบบโตขนาดนี้ (แต่ไม่ใช่ว่าประเทศพัฒนาแล้วจะไม่มี อย่างเศรษฐกิจในเงาของสหรัฐมีขนาด 11% - 12%)

ดังนั้นหากเราต้องการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะต้องทำคือเอาเรื่องใต้ดินขึ้นมาบนดินเท่าที่จะทำได้ ทำให้เรื่องนอกระบบมาอยู่ในระบบให้มากที่สุด ซึ่งฟังแล้วดูเหมือนจะง่าย แต่ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่สุดหิน ไม่ใช่แต่รัฐบาลไทยจะ "ทำแทบไม่ได้" แต่รัฐบาลประเทศอื่นๆ ยังทำได้ยากเช่นกัน

แต่ความท้าทายของไทยไม่ใช่แค่การเล่นบทยักษ์กับประชาชนตาดำๆ ด้วยการลากเข้ามาจดทะเบียนเสียภาษีให้หมดเท่านั้น รัฐบาลยังต้องสู้รบปรบมือกับผู้ทรงอิทธิพล "ตัวจริง" ที่กอบโกยจากธุรกิจใต้ดินสารพัด แต่คนเหล่านี้นี่แหละที่เป็นฐานอำนาจของรัฐบาล

รัฐบาลไทยไหนๆ ก็เป็นจำพวกที่ติดอยู่กับคณาธิปไตย (ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน) และธนาธิปไตย (มีเงินนับเป็นน้องมีทองนับเป็นพี่) ที่ไม่สามารถเล่นงานเครือข่ายผลประโยชน์พวกเดียวกันเองได้

ตัวอย่างเช่น ข้อมูลจากคริส เบลค (Chris Blake) ผู้สื่อข่าวของ Bloomberg รายงานเมื่อปี 2015 (หรือหลังจากรัฐประหารมาได้ 1 ปี) เผยว่าส่วยที่เรียกเก็บจากธุรกิจย่านบันเทิงยามราตรีที่ผิดกฎหมายเพิ่มขึ้นมาหลังจากที่กองทัพทำรัฐประหาร เพราะ "คนที่เธอ (เจ้าของธุรกิจ) จ่ายส่วยให้บอกว่าพวกนั้นบอกให้จ่ายเพิ่มขึ้น"

ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมามีข่าวคราวการกวาดล้างระบบส่วยหลายครั้งรวมถึงการจัดการกับขบวนการค้ามนุษย์จนรัฐบาลสหรัฐปรับระดับให้ดีขึ้น (เล็กน้อย) แต่แล้วเราก็ยังถูกธุรกิจในอิทธิพลส่วนสร้างปัญหาให้จนได้

การเห็นแก่พวกพ้องและผลประโยชน์ทำให้ประเทศชาติอ่อนแอมานาน และไม่น่าเชื่อว่ามันยังทำให้ประชาชาชนตาดำๆ ต้องพลอยติดโรคระบาดไปด้วยแล้วในวันนี้!

หมายเหตุ - หากจะถามว่าถ้าเกิดไทยนำธุรกิจมืดขึ้นมาบนที่แจ้งตั้งแต่แรกแล้ว มันจะช่วยให้เราติดโควิด-419 น้อยลงหรืแเปล่าในตอนนี้? ขอตอบว่าคงจะไม่ช่วยเท่าไร เพราะคนที่ไปพัวพันกับเรื่องนี้ก็มีโอกาสปกปิดข้อมูลอยู่ดี

ก็ในสังคมที่ยังมองว่าการพนันคือทางแห่งหายนะ ใครเล่าจะอยากให้คนอื่นรู้ว่าไปเล่นพนัน และใครจะกล้าบอกทางบ้านว่าไปเที่ยว "อีหนู" มา ต่อให้มันถูกกฎหมายก็เถอะ?

โดย กรกิจ ดิษฐาน

Photo by Mladen ANTONOV / AFP