posttoday

ปีหายนะแจ็ค หม่าสูญเงินกว่า3แสนล้านใน2เดือน

01 มกราคม 2564

นี่อาจเป็นแค่จุดเริ่มต้นของความยากลำบากที่แจ็ค หม่ากำลังจะเจอ เพียงแค่ 2 เดือนเขาก็พบกับความสูญเสียอย่างหนักหน่วง

จากการรายงานของสำนักข่าว Bloomberg แจ็ค หม่า ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Alibaba ต้องสูญเงินไปถึง 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 330,000 ล้านบาท) นับตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมจนถึงปลายเดือนธันวาคม 2020 โดยตอนนี้มูลค่าทรัพย์สินของเขาอยู่ที่ 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐจากที่มีช่วงหนึ่งของปีนี้เคยสูงถึง 61,700 ล้านเหรียญสหรัฐ

ทรัพย์สินที่ลดลงเกิดขึ้นในช่วงที่แจ็ค หม่าถูกทางการจีนตครวจสอบอย่างหนักเรื่องการทำธุรกิจผูกขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ทางการจีนสั่งระงับการเปิดขายหุ้นครั้งแรก (IPO) ของบริษัท Ant Group ที่หม่าปั้นขึ้นมาให้เป็นฟินเทคชั้นนำขเองโลก ซึ่งหากขาย IPO สำเร็จหม่าจะกลายเป็นคนที่รวยที่สุดในเอเชียแทบจะทันที

ตอนนี้แจ็ค หม่ายังไม่ใช่คนที่รวยที่สุดในจีนด้วยซ้ำ โดยตำแหน่งของเขาในรายชื่อเจ้าสัวจีนระดับมหาเศรษฐีหล่นลงไปอยู่ที่ 4 ตามหลังโพนี หม่า แห่งบริษัท Tencent ที่อยู่ที่ 3 และบริษัทของเขากำลังถูกทางการจีนจับตามองอยู่เช่นกัน ทั้งนี้ แจ็ค หม่ารั้งตำแหน่งมหาเศรษฐีโลกลำดับที่ 25 จากดัชนี Bloomberg Billionaires Index

การตรวจสอบบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ของทางการจีนยังทำให้เกิดกระเทขายหุ้นอย่างขนานใหญ่ เช่นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2020 มีการเทขายหุ้นครั้งใหญ่ในกลุ่มบริษัทเทคของจีน บริษัทที่ถูกเทขายมากที่สุดคือ Alibaba เพราะนักลงทุนเกิดความกลัวว่าการตรวจสอบการต่อต้านการผูกขาดของรัฐบาลจะลุกลามไปไกลกว่าบริษัทของแจ็ค หม่าและกระทบไปถึงบริษัทอื่นๆ ด้วย

ผลคือ Alibaba และคู่แข่งรายใหญ่ที่สุดสามราย ได้แก่ Tencent Holdings Ltd. ยักษ์ใหญ่ด้านการจัดส่งอาหาร Meituan และ JD.com Inc. สูญเงินเกือบ 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 2 วันหลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลของจีนเปิดเผยการสอบสวนบริษัทของแจ็ค หม่า ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของการปราบปรามบริษัทใหญ่ๆ โดยพรรคคอมมิวนิสต์ ที่ไม่ใช่แค่ Alibaba จะโดนรายเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงยักษ์ด้านเทคโนโลยีรายอื่นๆ ด้วย

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ธนาคารกลางของจีนสั่งให้ Ant Group หวนกลับไปทำธุรกิจเดิมที่เริ่มต้นมาคือบริการชำระเงินและยกเครื่องธุรกิจที่ผูกติดบริการการเงินอื่นๆ ตั้งแต่การประกันภัยไปจนถึงการจัดการเงิน คำสั่งนี้ทำให้เกิดกระแสกังวลกันว่าบริษัทอาจจะไปไม่รอดในท้ายที่สุด

Photo by STR / AFP