สิ่งที่จะทำให้เวียดนามนำห่างไทย
เวียดนามกำลังไล่ตามไทย แต่ไทยก็ไปไกลแล้วเหมือนกัน แต่ใครจะเดินหน้าอย่างมั่นคงกว่ากัน?
ผู้เขียนเดินทางไปเวียดนามครั้งล่าสุด 2 ปีก่อน ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่ไปเวียดนามแต่เป็นครั้งแรกที่ไปนครโฮจิมินห์ ถึงแล้วก็พอใจในความร่มรื่นไปด้วยไม้ใหญ่ราวป่าดงพงไพรที่ปล่อยให้สูงชลูดไม่ได้กุดให้เตี้ยแล้วเตี้ยอีกเหมือนบ้านเรา (สมกับชื่อเดิมของนครโฮจิมินห์คือเมืองไพรนคร)
นครโฮจิมินห์ไม่ใช่พงไพรอีก เป็นนครใหญ่ที่มีผังเป็นระเบียบ ตึกสูงเหมือนจะหนาแน่นมากหากเทียบกับกรุงเทพ สภาพค่อนข้างสะอาด และเต็มไปด้วยพลังของคนหนุ่มสาว เห็นแล้วก็รู้สึกดีใจที่เวียดนามมีพลังแห่งการเติบโต ต่างจากไทยที่เดี๋ยวสะดุดแล้วสะดุดอีก
แต่ไทยก็เดินหน้าไปเรื่อยๆ เดินแบบเงียบๆ แต่เร็ว จนกระทั่งคนไทยด้วยกันเองไม่ทันสังเกต
ช่วงนั้นผู้เขียนเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้านบ่อยๆ สิ่งที่เห็นชัดคือพวกตึกระฟ้าผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ด แทรกอยู่กลางเมืองที่ซอมซ่อและถนนที่ย่ำแย่ เวียดนามถือว่า "ดูดีที่สุดแล้ว" แต่ที่อื่นๆ ยังห่างไกลกับคำว่าคุณภาพชีวิตที่ "โอเค" เพราะสาธารณูปโภคพื้นฐานยังแย่
แต่เรามักจะเอาพวกตึกสูงตึกสวยหรืออะไรที่มันฉาบฉวยของเพื่อนบ้านมาบลั๊ฟไทยด้วยกันเอง อย่างเช่น ตอนนี้มีการแชร์ภาพของฮาลองเบย์ที่โมเดิร์นและสะอาดสะอ้าน คนไทยเห็นแล้วตาโตคิดว่าเวียดนามล้ำไทยไปไกลแล้ว
ดูแล้วก็ทดท้อใจกันว่าไทยทำไมไม่พัฒนาสักที ปล่อยให้เพื่อนบ้านไปถึงไหนแล้ว ผมอ่านแล้วท้อใจเหมือนกันว่าอยู่เมืองไทยแท้ๆ ทำไมไม่เห็นว่าเราพัฒนาไปถึงไหนต่อไหน พัฒนาแบบที่เพื่อนบ้านในระดับเดียวกัน (ไม่ใช่เวียดนาม) ยังทึ่ง
แน่นอนว่าผู้เขียนไม่ได้พูดถึงผลงานของรัฐบาลนี้ แต่พูดถึงสายธารของการพัฒนาชาติที่ต่อเนื่องทั้งๆ ที่เรา "วิวาทกันเอง" ไม่หยุดหย่อน
จนผู้เขียนคิดว่าบ้านเราคงมีภูมิคุ้มกันทางการเมืองแล้ว คือพัฒนาก็พัฒนาต่อไป การเมืองจะถูกลู่ถูกังแค่ไหนก็ไม่สน
ช่วงนี้ผู้เขียนเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อย ได้เห็นกับตาว่าจังหวัดต่างๆ มีสภาพเป็นแบบไหน บอกได้ว่าโครงสร้างพื้นฐานของบ้านเราดีมาก หลายจังหวัดสะอาดสะอ้านจนอยากจะย้ายไปอยู่ บางจังหวัดก็รกและรุงรัง แต่ก็ดูมีความหวังกับโครงการก่อสร้างต่างๆ นานา
บางทีถึงจะไม่อลังการอย่างภาพฮาลองเบย์ที่แชร์ๆ กัน แต่ก็พัฒนาสมฐานะ ไม่เว่อร์วังจนดูรักษาลำบาก และที่สำคัญต้องสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมด้วย
ฮาลองเบย์ที่เห็นสวยๆ นั้นมีปัญหาเรื่องมลพิษและการพัฒนาเกินขอบเขต ภาพที่เห็นงามในตอนนี้ อนาคตอาจกลายเป็นยาพิษได้ ซึ่งเหมือนไทยเราก็ต้องสำเหนียกไว้ด้วยกับการท่องเที่ยวที่หนักข้อจนทำลายสิ่งแวดล้อม
ผู้เขียนไม่ได้อิจฉาเพื่อนบ้าน แต่เป็นห่วง และคิดเสมอว่าอยากให้เพื่อนบ้านเจริญทัดเทียมบ้านเรา เพราะเมื่อเราเจริญเท่ากัน เมื่อนั้นก็ไม่ต้องแข่งกันอีก แต่จะช่วยกันแข่งเพื่อภูมิภาค
วันหนึ่งตอนที่ไปพนมเปญ ผู้เขียนยังนึกอยากให้วันหนึ่งเรามีการขนส่งสาธารณะที่เชื่อมต่อกัน นั่งรถความเร็วสูงจากกรุงเทพฯ ถึงกัมพูชา และโฮจิมินห์แค่ไม่กี่ชั่วโมง มันจะเป็นอะไรที่วิเศษมาก การเคลื่อนย้ายสินค้าและแรงงานจะสะดวกอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้อาเซียนภาคพื้นแผ่นดินใหญ่มีพลวัตการพัฒนาที่แข็งแกร่ง
เทียบกับอาเซียนภาคหมู่เกาะแล้ว อาเซียนภาคพื้นแผ่นดินใหญ่มีความได้เปรียบกว่ามาก เพราะมีแผ่นดินเชื่อมต่อกัน ทำให้วางโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งได้ดีกว่า
แต่ตอนนี้แม้รถไฟฟ้าในโฮจิมินห์เองก็ยังมีปัญหา ที่ฮานอยสร้างมาจะสิบปีแล้วไม่เสร็จสักที
สื่อบางแห่งบอกว่า โครงการรถไฟฟ้าของฮานอยกับโฮจิมินห์มีปัญหาเรื่อง "การวางแผนของภาครัฐและการปรับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ"
นี่คือเรื่องที่ซีเรียสมาก แสดงว่าประสิทธิภาพของรัฐบาลเวียดนามไม่น่าไว้ใจ เพราะโครงสร้างพื้นฐานไม่ไปไหนเสียที มีแต่การแต่งเมืองให้สวย (ซึ่งก็สวยจริง)
อดคิดไม่ได้ว่าขณะที่เวียดนามกำลังแต่งหน้าให้กับเมืองต่างๆ นั้น โครงสร้างพื้นฐานที่เป็นหน้าตาที่แท้จริงถูกทิ้งให้ขี้ริ้วขี้เหร่เสียอย่างนั้น
แต่เมื่อดูตัวเลขการลงทุนด้านนี้แล้วกลับคนละเรื่องกันเลย
เพราะเวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศในเอเชียที่มีอัตราการลงทุนสูงสุดในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในภาครัฐและเอกชนของเวียดนามมีอัตราเฉลี่ย 5.7% ของ GDP ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอยู่ในอันดับรองจากจีนที่ 6.8% และยังสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ต่ำกว่า 3% ขณะที่มาเลเซียและไทยต่ำกว่า 2%
ต้องถามว่าลงทุนกันขนาดนี้แล้ว ทำไมเวียดนามจึงยังมีปัญหาอยู่อีก? คำตอบก็คือการคอร์รัปชั่นและการมีรัฐบาลผูกขาดพรรคเดียว พูดภาษาคอมมิวนิสต์ก็คือ "รัฐบาลเผด็จการของชนชั้นแรงงาน"
การมีรัฐบาลเผด็จการมีข้อได้เปรียบคือถ้ามันดีมันจะสั่งการได้รวดและมีประสิทธิภาพ แต่ข้อเสียคือตรวจสอบได้ยาก เล่นพรรคเล่นพวกง่าย ตัวอย่างก็คือจีน ซึ่งปกครองโดย "รัฐบาลเผด็จการของชนชั้นแรงงาน" เช่นกัน มีระบบการสั่งการและลงมือทำที่รวดเร็ว สั่งนกได้นก สั่งม้าได้ม้า
แต่ปัญหาคือเมื่อคุณมีระบบที่มีแต่พวกเดียวกันเอง โอกาสที่จะเล่นพรรคเล่นพวกและกินนอกกินในมีสูงมาก จีนยุคก่อนสีจิ้นผิงจึงเรื้อรังไปด้วยปัญหาคอร์รัปชั่น กินกันสะบั้นหั่นแหลก แม้แต่การกินเลี้ยงในร้านอาหารธรรมดาๆ ก็เป็นการจ่ายใต้โต๊ะรูปแบบหนึ่ง
เดชะบุญที่รัฐบาลจีนสั่งการอย่างมีประสิทธิภาพและระดับนำก็ทำงานขันแข็งเพราะมีระบบการประเมินผลงานที่รัดกุม หากไม่มีระบบนี้จีนคงจะพังพินาศเพราะการคอร์รัปชั่นเป็นแน่
แต่เวียดนามไม่ได้มีระบบที่รัดกุมเหมือนจีน ผลก็คือเวียดนามกลายเป็นประเทศที่มีการคอร์รัปชั่นรุนแรง
แต่ในที่สุดเวียดนามก็เริ่มขยับ เมื่อปีที่แล้วประธานาธิบดี "เหงียน ฟู้ จ่อง" เดินหน้าปฏิบัติการกวาดล้างการคอร์รัปชั่น โดยคนแรกที่โดนคือเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งนครโฮจิมินห์และสมาชิกกรมการเมือง (โปลิตบูโร) คือ "เล แทง ไห่" คนต่อมาคือ "หวง จุง ไห่" เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งกรุงฮานอยและสมาชิกกรมการเมืองอีกคนหนึ่ง
โปรดสังเกตว่าทั้ง 2 คน คือคนที่คุมเมืองที่สำคัญอันดับที่ 1 และ 2 ของประเทศ เป็นเมืองที่เป็นหัวใจของชาติและพัฒนาอย่างรวดเร็วแต่ก็มีปัญหาคาราคาซังเช่นกัน (หนึ่งในนั้นคือปัญหารถไฟฟ้าที่ไม่เสร็จสักที)
แต่ในขณะที่สีจิ้นผิงแห่งจีน "เชือด" สมาชิกพรรคที่ออกนอกลู่นอกทาง ผู้นำเวียดนามกลับแค่ให้ใบเหลือง และยังมีสมาชิกพรรคอีกกว่าครึ่งแสนที่โดนลงโทษทางวินัยเท่านั้น ไม่ได้ถูกเล่นงานหนักเท่ากับที่จีน อย่างไรก็ตามมีบางคนถูกลงโทษหนักเช่นกัน
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับการ "ลงโทษทางวินัย" คนในพรรค ปรากฎว่ามีผลการสำรวจความเห็นชาวเวียดนามโดย VCB-2019 พบว่า ปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นความกังวลอันดับที่ 4 ของชาวเวียดนามรองจาก ความยากจน ความปลอดภัยด้านอาหาร และอาชญากรรม/ความมั่นคง และคนกังวลเรื่องคอร์รัปชั่นมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ปรากฎว่าผลสำรวจประชาชนชี้ไปที่ตำรวจจราจรว่าเป็นกลุ่มที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงมากที่สุด ตามด้วยตำรวจทั่วไป ตามด้วยเจ้าหน้าที่สรรพากร ตามด้วยเจ้าหน้าที่รัฐบาล และตามด้วยสำนักประธานาธิบดี/นายกรัฐมนตรี
ผู้เขียนเชื่อว่าหากเวียดนามเป็นประเทศเสรีประชาธิปไตย กราฟนี้จำพลิกไปทางตรงกันข้าม เพราะนักการเมืองจะมาเป็นอันดับแรก
แต่เมื่อเทียบกับไทยแล้ว เวียดนามยังดีกว่า โดยเวียดนามมีระดับคอร์รัปชั่นที่ 96 จาก 180 ประเทศ ส่วนไทยอยู่ที่ 101 จาก 180 ประเทศ
เมื่อดูกราฟระยะหลายๆ ปี ยิ่งจะเห็นชัดคะแนนการจัดการคอร์รัปชั่นของเวียดนามเคยอยู่ที่คะแนน 31 เต็ม 100 ระหว่างปี 2012 - 2015 แล้วขึ้นๆ ลงๆ จากนั้นถึงปี 2019 ก็พุ่งพรวดมาอยู่ที่ 37
ขณะที่ไทยมีคะแนนขึ้นๆ ลงๆ 35 - 38 ระหว่างปี 2012 - 2019 กราฟจึงเหมือนฟันปลา เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย หวังไกลกับเขาไม่ได้
ตอนนี้เราจะเห็นว่าเวียดนามเหนือกว่าไทยอยู่ 2 เรื่องคือ จริงจังในการกวาดล้างคอร์รัปชั่น "พอสมควร" ขณะที่ไทยไม่มีความจริงจังที่เป็นรูปธรรม อีกเรื่องคือเวียดนามรู้ตัวว่าขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานจึงเร่งลงทุนในด้านนี้มากที่สุดในอาเซียน แม้จะดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่อย่างน้อยเวียดนามยังรู้ปัญหา
โอกาสที่เวียดนามจะไล่ตามไทยทันจึงอยู่ที่เวียดนามจะแก้ปัญาคอร์รัปชั่นได้ และเมื่อแก้คอร์รัปชั่นได้แล้ว การใช้เงินลงทุนพัฒนาประเทศก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น โอกาสที่จะดีไม่น้อยไปกว่าไทยก็จะมากขึ้น แต่จะเร็วขึ้นด้วย ขณะที่ไทยเราไม่ได้นิ่งแต่พัฒนาแบบเนิบๆ
แต่ความเนิบของไทยก็มีข้อดีตรงที่มันทำให้เราเดินอย่างมั่นคง ไม่ก้าวกระโดดในเรื่องที่ไม่ควรทำ เรื่องไม่ควรทำอย่างหนึ่งของเวียดนามก็คือการผลักดัน Vietnamese Grand Prix ให้เวียดนามเป็นปลายทางแห่งใหม่โลกในการแข่ง F1
เวียดนามเตรียมสนามอย่างเร่งด่วนโดยใช้ท้องถนนบางส่วนในกรุงฮานอยนั่นเองโดยหวังจะเดินตามรอย Singapore Grand Prix และมีกำหนดจะจัดในเดือนเมษายนปีนี้ แต่แล้วก็เจอพิษโควิดจนต้องเลื่อน แล้วก็พยายามจะดึงดันจัดขึ้นมาอีกหลังจากเวียดนามคุมโควิด "ค่อนข้างเอาอยู่" โดยมีแผนจะจัดในปีหน้า แต่แล้วแผนก็พับไปอีกอย่างไม่มีกำหนด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเวียดนามเจอการระบาดอีกรอบช่วงสั้นๆ และโลกภายนอกเขายังระบาดกันอยู่ด้วย
แต่ปัญหาหลักที่ทำให้มันเลื่อนไปแบบไม่มีกำหนดคือ "เหงวียน ดึ๊ก ชุง" ประธานกรรมาธิการประชาชนแห่งกรุงฮานอยและนายพลในกองทัพผู้เป็นสนับสนุนหลักถูกจับกุมฐานคอร์รัปชั่น
ต่อให้เวียดนามเดินหน้าจัด Vietnamese Grand Prix ได้โอกาสที่มันจะอยู่ยงคงกระพันก็มีน้อยมาก ออกจะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ หากวัดจากประสบการณ์การจัด Grand Prix ในเอเชียหลายแห่งตั้งแต่มาเลเซีย อินเดีย ไปจนถึงเกาหลีที่ล้มไปเพราะคนไม่มาดู มีปัญหากับภาครัฐ และต้นทุนสูงเกินเหตุ ที่ยังรอดและฮิตอยู่ได้คือ Singapore Grand Prix (และยังมีจัดที่จีนกับญี่ปุ่นด้วย)
โดยรวมแล้วการจัด F1 ในเอเชียไม่ค่อยคุ้มค่าทางการเงิน มาลเซียที่เคยมี F1 เป็นที่เชิดหน้าชูตาใครๆ ในอาเซียนมานานหลายสิบปียังทำท่าจะไม่รอด รัฐมนตรีกระทรวงเยาวชนและกีฬาในขณะนั้นยังกล่าวว่า "ต้นทุนสูงเกินไป รายได้คืนมาจำกัด"
ส่วนจีนที่มีปัญหาเรื่องไม่คุ้มทุน แต่รัฐบาลยังช่วยอุดหนุนให้จัดต่อไปเพราะมันช่วยปูทางให้กับการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ เช่น การเป็นหุ้นส่วนของอุตสาหกรรมอะไหล่ยนต์กับทีม F1 ต่างๆ (สนามแข่งยังตั้งอยู่ใกล้เขตอุตสาหกรรมยานยนต์ในเซี่ยงไฮ้ด้วย)
ถามว่าเวียดนามมีเป้าหมายแบบจีนหรือไม่?
หากไม่มองไปถึงจุดนั้นการแข่ง F1 ยังเป็นของฟุ่มเฟือยเกินไปสำหรับฮานอย เมืองที่พัฒนารถไฟฟ้าไปไม่ถึงไหนและลากยาวมาเกือบ 10 ปีแถมสภาพถนนในเมืองก็ไม่ได้ดีอะไรมาก ควรที่เวียดนามจะหันมาพัฒนาฮานอยให้น่าอยู่กกว่านี้ก่อนเหมือนสิงคโปร์ แทนที่จะตามสิงคโปร์ในเรื่องที่ไม่ควรจะตาม
นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ประเทศไทยไม่ควรทำ คือการนำเงินไปในเรื่องเกินตัว
บทความโดย กรกิจ ดิษฐาน
Photo by Manan VATSYAYANA / AFP


