posttoday

พระเจ้าโอลาฟที่ 5 ราชาที่มีบอดี้การ์ด 4 ล้านคน

17 พฤศจิกายน 2563

สมเด็จพระราชาธิบดีโอลาฟที่ 5 แห่งนอร์เวย์ กษัตริย์ผู้มีบอดี้การ์ดมากที่สุดในโลก

แม้ว่านอร์เวย์จะมีแหล่งปิโตรเลียมในประเทศทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมากมาย แต่ในปี 1973 นอร์เวย์เคยเผชิญกับวิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำมันครั้งใหญ่ ทำให้นอร์เวย์ออกมาตรการจำกัดการขับขี่รถยนต์ แต่กษัตริย์สามารถขับรถได้ตามปกติ

ถึงกระนั้นสมเด็จพระราชาธิบดีโอลาฟที่ 5 แห่งนอร์เวย์ ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุ 80 พรรษา ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะเป็นแบบอย่างให้กับประชาชน โดยพระองค์เลือกที่จะเสด็จพระราชดำเนินโดยรถไฟใต้ดินกับประชาชน

โดยมีภาพปรากฏขณะที่พระองค์กำลังเสด็จไปทรงสกีด้วยรถไฟใต้ดินโฮลเมนโคเลน ซึ่งทรงฉลองพระองค์ด้วยชุดเล่นสกีพร้อมถือสกีไว้บนบ่า มีรายงานว่าพระองค์ทรงซื้อตั๋วรถไฟตามปกติ และเดินทางเฉกเช่นประชาชนธรรมดาทั่วไป

นอกจากนี้พระองค์ทรงโปรดขับรถเอง และขับในเลนเดียวกับประชาชน แม้ว่าที่นอร์เวย์จะอนุญาตให้รถส่วนพระองค์ขับบนช่องเดินรถประจำทางได้ก็ตาม

เมื่อถูกถามภายหลังว่าเหตุใดพระองค์จึงกล้าเสด็จไปพระองค์เดียวโดยไม่มีบอดี้การ์ด พระองค์ตรัสว่า "เรามีบอดี้การ์ด 4 ล้านคนอยู่แล้ว" ซึ่งหมายถึงประชาชนทั่วประเทศนอร์เวย์

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเชื่อมั่นและศรัทธาในพระเจ้าโอลาฟที่ 5 บางคนตั้งแง่ว่าพระองค์ไม่ใช่กษัตริย์นอร์เวย์แท้จริง เพราะทรงประสูติที่สหราชอาณาจักร พระราชบิดาคือเจ้าชายคาร์ล ซึ่งทรงเป็นพระโอรสของมกุฏราชกุมารแห่งเดนมาร์ก (ต่อมาครองราชย์และเฉลิมพระนามว่าพระเจ้าเฟรเดริกที่ 8 แห่งเดนมาร์ก) ส่วนพระราชมารดาคือเจ้าหญิงม็อดแห่งเวลส์ พระราชธิดาของมกุฏราชกุมารแห่งบริเตน (ต่อมาครองราชย์และเฉลิมพระนามว่าพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งบริเตน)

ดังนั้น "เจ้าชายโอลาฟ" จึงมีพระราชบิดาเป็นชาวเดนมาร์กและมีพระราชมารดาเป็นชาวอังกฤษ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับนอร์เวย์โดยสายเลือด 

หลังจากที่นอร์เวย์แยกตัวเป็นเอกราชจากสวีเดน ได้มีการคัดเลือกว่าเจ้าชายองค์ใดที่เหมาะสมจะมาเป็นกษัตริย์ของประเทศใหม่ และคณะกรรมาธิการได้เลือกเจ้าชายคาร์ลแห่งเดนมาร์กเพราะพระองค์สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์นอร์เวย์โบราณ

ดังนั้นข้อครหาที่ว่าเจ้าชายโอลาฟไม่ใช่กษัตริย์นอร์เวย์ที่แท้จริงเพราะทรงไม่มีสายเลือดของชาวนอร์เวย์จึงป็นเรื่องไม่ถูกต้องนัก

เจ้าชายคาร์ลแห่งเดนมาร์กทรงรับคำเชิญแต่ทรงตระหนักดีว่าชาวนอร์เวย์ยังถกเถียงกันเรื่องระบอบการปกครองว่าควรจะเป็นระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญหรือควรจะเป็นระบอบสาธารณรัฐ เจ้าชายคาร์ลแห่งเดนมาร์กจึงทรงตั้งข้อแม้ว่าจะทรงรับเป็นกษัตริย์ก็ต่อเมื่อมีการลงประชามติของประชาชนก่อนว่าจะเลือกระบอบการปกครองแบบใด

ผลปรากฏว่าประชาชนถึง 79% เลือกระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ เจ้าชายคาร์ลแห่งเดนมาร์กจึงทรงขึ้นครองราชย์ และทรงเลือกพระนามใหม่ด้วยภาษานอร์สโบราณซึ่งเป็นภาษาบรรพบุรุษของชาวนอร์ส (คือชาวยุโรปตอนเหนือ) ทรงพระนามว่าสมเด็จพระราชาธิบดีโฮกุนที่ 7 

สมเด็จพระราชาธิบดีโฮกุนที่ 7 ทรงปกครองประเทศด้วยความเที่ยงธรรมและกล้าหาญ เมื่อพวกนาซีเยอรมันรกุรานนอร์เวย์ ทรงไม่ยอมร่วมหัวจมท้ายด้วยและทรงไม่ยอมรับรัฐบาลควิสลิง (วิดกึน ควิสลิง ทหารและนักการเมืองนอร์เวยที่สมคบนาซี) ที่สมคบกับนาซี รวมถึงทรงไม่ยอมสละราชย์ด้วย แต่ทรงลี้ภัยมายังสหราชอาณาจักรแล้วทรงเป็นแกนนำต่อต้านนาซีที่นั่น ส่วนเจ้าชายโอลาฟก็ทรงเป็นทหารที่เชี่ยวชาญการรบและเป็นผู้นำกองทัพนอร์เวย์ต่อต้านนาซี

ระหว่างที่ประเทศตกอยู่ภายใต้การปกครองของนาซีอันน่าขมขื่นใจ มีตำนานเล่ากันว่าเจ้าชายโอลาฟทรงไม่ยอมเสวยของหวานเลย 

หลังสิ้นสุดสงครามโลกได้เกือบ 10 ปีสมเด็จพระราชาธิบดีโฮกุนที่ 7 ก็สวรรคต เจ้าชายโอลาฟผู้เป็นพระราชโอรสจึงกลายเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 2 ของนอร์เวย์ พระองค์ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ปี 1957 ถึง 1991 พระองค์ถูกขนานนามว่าเป็นราชาของประชาชน และเป็นที่สรรเสริญชื่นชมจากทั้งประชาชนในประเทศและต่างประเทศ ด้วยพระราชกรณียกิจและแบบแผนในการดำเนินชีวิตของพระองค์

จนกระทั่งรัชสมัยปัจจุบันราชวงศ์นอร์เวย์ยังคงเป็นที่ชื่นชมและได้รับการขนานนามจากประชาชนมาโดยตลอดว่าเป็นราชวงศ์ที่ติดดินและเข้าถึงง่าย

ทั้งนี้ สถาบันกษัตริย์ของนอร์เวย์มีรากฐานมาจากหลักการแห่งประชาธิปไตย โดยคำขวัญของสมเด็จพระราชาธิบดีโฮกุนที่ 7 กษัตริย์พระองค์แรกที่ว่า "Alt for Norge" หรือทุกอย่างเพื่อประเทศนอร์เวย์

โดยเจ้าชายโฮกุน มกุฎราชกุมารแห่งนอร์เวย์ เคยตรัสไว้ว่า "สถาบันกษัตริย์ของเราเริ่มต้นจากกษัตริย์ที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน" เนื่องจากในปี 1905 มีการลงประชามติโดยประชาชนชาวนอร์เวย์ และเสียงส่วนใหญ่นิยมระบอบกษัตริย์จึงเป็นจุดเริ่มต้นของราชวงศ์นอร์เวย์มาจนถึงทุกวันนี้

เจ้าชายโฮกุนกล่าวถึงสมเด็จพระราชาธิบดีโฮกุนที่ 7 กษัตริย์พระองค์แรกว่า "ท่านได้รับการเลือกจากประชาชน ท่านเข้าถึงได้ง่าย และแนวทางนี้ได้ตกทอดมาจนถึงรุ่นของเรา"