posttoday

กลิ่นสงครามโชยมา? สหรัฐหักพร้าด้วยเข่าปิดกงสุลจีน

22 กรกฎาคม 2563

เมื่อไรก็ตามที่สหรัฐเริ่มขับเจ้าหน้าที่ทูตจีนหรือลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต เมื่อนั้นกลิ่นของสงครามและการเผชิญหน้าด้วยความรุนแรงก็จะยิ่งชัดกว่านี้

หวังเหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเปิดเผยว่า วันนี้ (22 ก.ค.) สถานกงสุลใหญ่จีนในเมืองฮุสตัน รัฐเทกซัสของสหรัฐได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการจากทางการสหรัฐให้ปิดสถานทูตภายใน 72 ชั่วโมง โดยจีนพร้อมตอบโต้กลับอย่างเท่าเทียมกันหากรัฐบาลสหรัฐไม่เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว

ต่อมา มอร์แกน ออร์ทากัส โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐยืนยันว่า ได้สั่งปิดสถานกงสุลของจีนในเมืองฮุสตัน รัฐเทกซัส เพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ และข้อมูลส่วนตัวของชาวอเมริกัน

ก่อนจะมีแถลงการณ์ออกมา สื่อท้องถิ่นสหรัฐรายงานว่า เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้เดินทางไปยังสถานกงสุลจีนหลังได้รับแจ้งจากผู้เห็นเหตุการณ์ว่า มีการเผากระดาษจำนวนมากด้านนอกตัวอาคารจนกลุ่มควันลอยขึ้นท้องฟ้า แต่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป โดยเบื้องต้นไฟดับแล้ว

นี่คือความแข็งกร้าวต่อจีนอย่างที่สหรัฐไม่เคยทำมาก่อน แต่ไม่ใช่ว่าทรัมป์ไม่เคยทำกับประเทศอื่น

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2016 เกิดความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับสหรัฐในกรณีที่สหรัฐกล่าวหาว่ารัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดี ในเดือนธันวาคม 2016 นักการทูตรัสเซียสี่คนที่ประจำการในสถานกงสุลรัสเซียในซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับหัวหน้าหนึ่งคน ถูกรัฐบาลสหรัฐประกาศเป็นบุคคลไม่พึงปรารถนา (persona non grata) เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าเป็นหน่วยสืบราชการลับที่แทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

ในวันที่ 31 สิงหาคม 2017 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐได้สั่งให้ปิดสถานกงสุลรัสเซียในวันที่ 2 กันยายน 2017 หรือภายในเวลา 72 ชั่วโมง ก่อนปิดสถานกงสุลมีผู้เห็นกลุ่มควันลอยออกมาจากอาคาร คาดว่าเป็นการเผาทำลายเอกสารที่เกี่ยวกับความมั่นคง

การเผาเอกสารเกิดขึ้นเช่นกันที่สถานกงสุลจีนคราวนี้

เรื่องระหว่างรัสเซียกับสหรัฐยังไม่จบแค่นี้ ปลายเดือนมีนาคม 2018 รัฐบาลทรัมป์สั่งขับเจ้าหน้าที่ทูตรัสเซีย 60 คนออกจากประเทศโดยกล่าวหาว่าเป็นสายลับสวมรอยมาเป็นนักการทูต คนเหล่านี้และครอบครัวมีเวลา 7 วันเพื่อออกจากสหรัฐ และรัฐบาลสหรัฐยังสั่งปิดสถานกงสุลรัสเซียในเมืองซีแอตเติลด้วย เนื่องจากอยู่ใกล้กับฐานทัพเรือดำน้ำและบริษัทโบอิ้ง คาดว่าน่าจะเป็นความกังวลเรื่องการสอดแนมเทคโนโลยี

ลักษณะของการปิดสถานกงสุลที่ซีแอตเติลคล้ายๆ กับการปิดสถานกงสุลจีนคราวนี้ เพราะตั้งอยู่ในเมืองฮุสตันที่เป็นฐานปฏิบัติการด้านอวกาศของสหรัฐ (Johnson Space Center)

กับกรณีของรัสเซีย รัสเซียตอบโต้ด้วยการขับไล่นักการทูตอเมริกัน 60 คนและปิดสถานกงสุลสหรัฐอเมริกาในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในเวลาไล่เลี่ยกัน คือปลายเดือนมีนาคม 2018 คาดว่าจีนก็คงทำแบบเดียวกัน

การปิดสถานกงสุลอย่างฉับพลันถือว่าผิดต่ออนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางทูต ค.ศ.1961 หรือไม่?

เมื่อปี 2017 รัสเซียจะอ้างว่าสหรัฐกำลังละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ฝ่ายบริหารของทรัมป์อ้างอนุสัญญากรุงเวียนนาที่ให้สิทธิ์แก่ประเทศเจ้าภาพในการยินยอมหรือไม่ยินยอมก็ได้ที่จะให้ประเทศอื่นๆ ตั้งสถานกงสุล

สรุปก็คือสหรัฐไม่ผิดที่จะปิดสถานกงสุล

คราวนี้จีนก็อ้างแบบรัสเซียเหมือนกัน แน่อนว่าสหรัฐก็คงต้องตอบแบบเดียวกัน กระนั้นก็ตามแม้ว่าจะไม่ขัดต่ออนุสัญญากรุงเวียนนา แต่มันขัดต่อมารยาททางการทูตอันดี และยังทำให้สถานการณ์โลกคุกรุ่นยิ่งขึ้น

ยังเป็นที่น่าสังเกตว่ารัฐบาลทรัมป์สั่งปิดสถานกงสุล 2 ประเทศในเวลาใกล้กับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐทั้ง 2 เหตุการณ์

กรณีการปิดสถานกงสุลรัสเซียที่ซานฟรานซิสโกเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเพียง 1 เดือน ส่วนการปิดสถานกงสุลจีนที่ฮุสตันเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐประมาณ 4 เดือน 

กรณีของทรัมป์ที่ปิดสถานกงสุลรัสเซียอาจเป็นกลบเกลื่อนความน่าสงสัยของเขาเองที่โยงใยนกับรัสเซีย เพราะหากจำกันได้ หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สรายงานเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2017 ว่าข้อมูลจากบันทึกทางโทรศัพท์และการสอดแนมสื่อสารแสดงให้เห็นว่าผู้ร่วมงานของทรัมป์ซึ่งรวมถึงสมาชิกแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งของทรัมป์ มีการติดต่อซ้ำๆ กับเจ้าหน้าที่ข่าวกรองระดับสูงของรัสเซีย

การที่ทรัมป์ปิดสถานกงสุลจีนในเวลาไล่ๆ กับการเลือกตั้งก็อาจมีเจตนาเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นความนิยมของเขาในศึกเลือกตั้ง เพราะคะแนนนิยมของเขาตกต่ำลงมากจากความล้มเหลวในการควบคุมโควิด-19

แต่แทนที่ทรัมป์กับคนในรัฐบาลจะเร่งแก้ไขโควิด-19 เขากับทุ่มเทพลังไปกับการเล่นงานจีนทั้งประเด็นฮ่องกง, ซินเจียง และทะเลจีนใต้ จนน่าสงสัยว่าเขามีเจตนาแอบแฝง

โชคดีที่สถานกงสุลไม่เหมือนกับสถานเอกอัครราชทูต ดีกรีความสำคัญก็น้อยกว่า เมื่อไรก็ตามที่สหรัฐเริ่มขับเจ้าหน้าที่ทูตจีนหรือลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต

เมื่อนั้นกลิ่นของสงครามและการเผชิญหน้าด้วยความรุนแรงก็จะยิ่งชัดกว่านี้