posttoday

โลกตะวันตกจะรุมขย้ำจีน

01 พฤษภาคม 2563

สถานการณ์โควิด-19 ยังไม่ทันผ่านพ้น ชาติตะวันตกหลายประเทศก็เริ่มฮึ่มๆ เตรียมเช็กบิลจีนโทษฐานเป็นต้นตอเชื้อไวรัสและรับมือผิดพลาดจนระบาดไปทั่วโลก

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐเดินหน้าโจมตีจีนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทรัมป์ระบุว่ามีหลักฐานเชื่อมโยงได้ว่าเชื้อโคโรนาไวรัสมาจากห้องทดลองในเมืองอู่ฮั่น แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยหลักฐานชิ้นนี้

ทรัมป์ยังขู่อีกว่าจะใช้มาตรการทางภาษีในการลงโทษจีนที่ไม่ยอมควบคุมการแพร่ระบาดตั้งแต่ต้นจนลุกลามไปทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อชีวิตและเศรษฐกิจมหาศาล

นอกเหนือจากทรัมป์ยังมีเจ้าภาพจองกฐินจีนอีกหลายเจ้า ประเดิมด้วยทางการรัฐมิสซูรีที่เป็นรัฐแรกของสหรัฐและในโลกที่ยื่นฟ้องรัฐบาลจีนต่อศาลรัฐบาลกลางสหรัฐ โดยกล่าวหาว่าจีนปล่อยปละละเลย ประมาทเลินเล่อ และโกหกเกี่ยวกับการระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสจนเกิดการแพร่ระบาดไปทั่วโลก

รวมถึงหนังสือพิมพ์รายใหญ่อย่าง Bild ของเยอรมนี ที่เรียกร้องให้ทางการจีนจ่ายเงินชดเชยแก่เยอรมนี 165,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากเชื้อไวรัสที่มาจากเมืองอู่ฮั่นสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจเยอรมนีอย่างหนัก และยังมีสมาคมเฮนรี แจ็กสัน ของอังกฤษ ที่จะยื่นฟ้องจีนต่อศาลโลกในข้อหาเดียวกัน

1. ทรัมป์ รวมถึงประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส และ โดมินิก ราบ รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ตั้งคำถามถึงความโปร่งใส และการปกปิดข้อมูลในการรับมือการแพร่ระบาดของ Covid-19 ของรัฐบาลจีน

2. ความกังขายิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อจีนปรับเปลี่ยนเกณฑ์การนับจำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตกลับไปกลับมา รวมทั้งการปรับตัวเลขผู้เสียชีวิตในเมืองอู่ฮั่นเพิ่มขึ้นอีก 50% เมื่อเร็วๆ นี้

3. แม้จีนจะพยายามชี้แจงแล้วว่าทำทุกอย่างโปร่งใสและแชร์ข้อมูลกับองค์การอนามัยโลกมาตั้งแต่แรก แต่ชาวโลกก็ยังไม่เชื่อมั่นในตัวจีน เพราะเคยมีประสบการณ์เมื่อครั้งที่โรคซาร์สระบาดเมื่อ 17 ปีที่แล้ว

4. ครั้งนั้นจีนทั้งปกปิดข้อมูลและรับมือช้าจนซาร์สระบาดเป็นวงกว้าง มีผู้เสียชีวิตกว่า 800 ราย ติดเชื้ออีกกว่า 8,000 รายทั่วโลก การระบาดของโคโรนาไวรัสในครั้งนี้จึงทำให้จีนขาดความน่าเชื่อถือในสายตาชาวโลก

5. ท่าทีของทรัมป์ต่อการจัดการปัญหา Covid-19 ของรัฐบาลจีนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ช่วงแรกๆ ผู้นำสหรัฐชื่นชมการทำงานประธานาธิบดี สีจิ้นผิง แต่หลังจากสหรัฐเริ่มมีผู้ติดเชื้อมากขึ้นทรัมป์ก็เริ่มโบ้ยว่าเป็นความผิดของจีน

6. การตำหนิจีนถี่ขึ้นของทรัมป์ ดูเหมือนว่าจะเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของชาวอเมริกันไม่ให้ตำหนิการทำงานที่ผิดพลาดล่าช้าของตัวเองจนชาวอเมริกันติดเชื้อเกิน 1 ล้านคนแล้ว เพราะทรัมป์เองก็ถูกชาวอเมริกันโจมตีที่พูดว่า Covid-19 ไม่รุนแรงตั้งแต่แรก

7. หากไม่หาแพะรับบาปแทน ทรัมป์อาจจะเสียคะแนน หรือเสียเก้าอี้ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือน พ.ย.นี้ เพราะลำพังมาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศก็ทำให้ชาวอเมริกันตกงานไปแล้วกว่า 30 ล้านคน สร้างความไม่พอใจไปทั่วสหรัฐ และยังไม่นับตัวเลขผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อที่มากที่สุดในโลก

8. ที่น่ากังวลคือ สงครามน้ำลายระหว่างสหรัฐกับจีนมีสิทธิ์ยกระดับเป็นการเผชิญหน้าด้วยอาวุธ เพราะตอนนี้จีนได้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินเหลียวหนิงและเรือรบอีก 5 ลำไปป้วนเปี้ยนอยู่ในน่านน้ำมหาสมุทรแปซิฟิก ส่วนสหรัฐก็ส่งเรือรบมาคุมเชิงในทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นเขตที่จีนอ้างกรรมสิทธิ์เหนือเกาะต่างๆ เรียกว่าต่างคนต่างเหยียบจมูกกันและกัน

9. อีกความเป็นไปได้หนึ่งคือ การทำสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น ประเด็นนี้ดูจะมีน้ำหนักมาก เพราะเมื่อนักข่าวถามทรัมป์ว่าจะลงโทษจีนด้วยการไม่จ่ายหนี้คืนจีนหรือไม่ ทรัมป์บอกว่าจะทำอย่างอื่นแทน นั่นก็คือการเก็บภาษีสินค้าจีน

10. เจ้าหน้าที่สหรัฐ 2 รายเผยกับ Reuters ว่าขณะนี้สหรัฐกำลังพิจารณามาตรการลงโทษจีน แต่ยังอยู่ในขั้นแรกเท่านั้น เรื่องยังไม่ถึงทีมที่ปรึกษาระดับสูงของทรัมป์

11. หนึ่งในทางเลือกที่เสนอก็คือ การยกเลิกหลักกฎหมายคุ้มกันรัฐต่างประเทศ (Sovereign immunity) ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้รัฐบาลสหรัฐหรือพลเมืองอเมริกันฟ้องร้องรัฐบาลจีนต่อศาลในสหรัฐได้ เหมือนกับที่สหรัฐเคยทำหลังเกิดเหตุวินาศกรรม 9/11

12. ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่มาพร้อมกับ Covid-19 ก็คือ กระแสชาตินิยมสูงขึ้น แต่ละประเทศต่างเอาตัวรอดเฉพาะประเทศตัวเอง โดยไม่สนใจความเดือดร้อนของประเทศอื่น

13. ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ อิตาลีที่มีการระบาดรุนแรงที่สุดในยุโรป แต่เมื่อขอความช่วยเหลือจากชาติตะวันตกหรือประเทศในกลุ่มอียูด้วยกันกลับไม่ได้รับความสนใจ แต่ละประเทศต่างก็ปิดพรมแดน กักตุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ไว้ใช้ในประเทศตัวเอง กลายเป็นจีนที่ยื่นมือเข้าไปช่วยอิตาลีแทน

บทวิเคราะห์โดยจารุณี นาคสกุล