ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าหญิงเกาหลีติดเชื้อจากไทย
ถ้าเป็นไปได้เราควรคาดหวังว่ามันไม่ใช่การระบาดจากไทย และควรจะตั้งสมมติฐานเอาไว้ด้วยว่าหญิงชาวเกาหลีคนนี้อาจติดเชื้อในเกาหลีเอง
ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของเกาหลีใต้ (KCDC) เปิดเผยว่า หญิงชาวเกาหลีใต้วัย 42 ปีติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยหญิงคนนี้เดินทางกลับจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 19 มกราคม และแสดงอาการอีก 7 วันต่อมา และได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัสเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์
เมื่อข่าวออกมาตอนแรกนั้น ประโยคที่ว่า "เพิ่งกลับมาจากไทย" ถูกเน้นเป็นพิเศษ เมื่อผู้สื่อข่าวซักถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่หญิงคนนี้จะเดินทางไปจีน ทางเกาหลีก็ไม่ตอบ
ในเวลาต่อมาฝ่ายเกาหลีจึงบอกว่ายังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสจากประเทศไทยหรือไม่ จ็องอึนคย็อง (Jeong Eun-kyeong) ผู้อำนวยการของ KCDC บอกว่า "เราจำเป็นต้องวิจัยเพิ่มเติมผ่านการสำรวจทางระบาดวิทยา"
การสำรวจทางระบาดวิทยา (Epidemiological survey) เป็นงานที่ต้องใช้เวลา ระหว่างนี้ฝ่ายไทยควรทำความเข้าใจกับชาวโลกว่าการติดเชื้อครั้งนี้ยังไม่ชัดเจนว่าติดจากไทย ติดจากในเกาหลีเอง หรือว่าไปติดจากที่อื่นมาแล้วผ่านไทยกลับไปแสดงอาการที่เกาหลี
มีกรณีที่ประเทศลาว ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวจีนแวะเข้ามาเที่ยวแล้วกลับไป กว่าทางการลาวจะรู้ว่ามีเชื้อไวรัสก็ผ่านมาแล้วตั้งหลายวัน
ที่เกาหลีเองมีกรณีผู้ป่วยถึง 5 รายที่ติดเชื้อจากคนสู่คนในประเทศตัวเอง ส่วนไทยในระหว่างที่กำลังเขียนบทความนี้ (4 กุมภาพันธ์) พบผู้ติดเชื้อในไทยเพิ่มจาก 1 รายเป็น 5 รายเท่ากับเกาหลีใต้ โดยในจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ 2 รายล่าสุดในไทย ติดเชื้อหลังจากกลับจากประเทศญี่ปุ่น แต่ก็สรุปไม่ได้เช่นกันว่าติดจากที่ญี่ปุ่นหรือไม่
ทำไมเราจึงต้องซีเรียสเรื่องสถานที่ติดเชื้อ?
ประการแรก หากหญิงเกาหลีติดเชื้อระหว่างเที่ยวไทยจริง คนไทยก็มีเหตุผลที่จะต้องระวังตัวกันมากขึ้น และรัฐบาลจะต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้น
ประการที่สอง เพื่อเป็นการทำแผนที่การติดเชื้อที่ถูกต้องแม่นยำ เพื่อแกะรอยและควบคุมการระบาด
ประการที่สาม หากไทยเป็นแหล่งกระจายเชื้อจริง อาจส่งผลต่อความชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวและนักลงทุน ประเทศเรายังพึ่งพาการท่องเที่ยวสูงมาก ความน่าเชื่อถือเรื่องความปลอดภัยจึงจำเป็นที่สุด
ก่อนหน้าที่เกาหลีใต้จะประกาศโครมครามว่าประชาชนของเขาติดเชื้อหลังจากมาเที่ยวไทย ประเทศเราสามารถกู้ความเชื่อมั่นมาได้ ด้วยผลงานอันเยี่ยมยอดของคณะแพทย์โรงพยาบาลราชวิถีที่ค้นพบสูตรใหม่ที่ใช้รักษาผู้ติดเชื้อไวรัสอู่ฮั่น
คล้อยหลังมา 2 วันก็มีข่าวด้านลบทันที เหมือนเทวดาฟ้าดินจะไม่ให้โอกาสคนไทยได้ดีใจกันนานข้ามสัปดาห์
หญิงเกาหลีติดเชื้อจากไทยหรือไม่ยังไม่ใครบอกได้
สิ่งที่ต้องคำนึงในเวลานี้คือระยะฟักตัวของไวรัส ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะไวรัสต้องฟักตัวกัน 14 วันทุกราย องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ระยะฟักตัวอยู่ที่ 2 - 10 วัน คณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติจีน (NHC) บอกว่าอยู่ที่ระหว่าง 10 - 14 วัน สำนักงานควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ (CDC) ประมาณการณ์ว่าอยู่ที่ 2 - 14 วัน
และที่สำคัญเราต้องแยกระยะฟักตัวออกจากการกักกันตัว 14 วัน เพราะยังไม่ทันกักตัวครบกำหนดโรคก็สามารถแสดงอาการได้แล้ว ยังไม่นับข้อเท็จจริงที่ว่าไวรัสสามารถติดต่อกันได้ตั้งแต่ยังไม่แสดงอาการ
หญิงชาวเกาหลีเดินทางกลับจากไทยวันที่ 19 มกราคม แสดงอาการวันที่ 25 มกราคม และถูกประกาศว่าติดเชื้อวันที่ 4 กุมภาพันธ์
ระหว่างวันที่ 19 - 25 มกราคม หรือ 7 วันที่เธออยู่ในเกาหลีใต้ จึงมีโอกาสที่จะติดเชื้อจากคนที่นั่นได้เช่นกัน
ฝ่ายไทยเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรคบอกว่า "เรามีโอกาสในระดับค่อนข้างต่ำในการสัมผัสผู้ที่ติดเชื้อโรคนี้ขณะที่อยู่ในเมืองไทย"
แต่สื่อบางแห่งพาดหัวข่าวไปเรียบร้อยแล้วว่าชาวเกาหลีคนนี้อาจจะติดจากคนจีนในไทย
ไม่รู้ไปเอาข้อมูลมาจากไหน เพราะทางเกาหลีใต้ยังไม่เผยข้อมูลออกมามากกว่าที่เราทราบกัน
สำนักข่าวทงอา (Dong-a Ilbo) ของเกาหลีใต้ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ป่วยคนที่ 16 มีเส้นทางการติดเชื้อที่มากกว่าผู้ป่วยรายอื่น คืออาจสัมผัสกับผู้ติดเชื้อในไทย อาจติดเชื้อที่สนามบิน (ที่ไหนก็ได้) หรืออาจติดเชื้อในเกาหลีเอง
สื่อเกาหลีใต้แนะว่าบางทีอาจจะต้องควบคุมการเข้าประเทศจากประเทศที่มีการแพร่ระบาดนอกเหนือจากจีน แต่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเกาหลีใต้เองยังบอกว่า "ยังต้องหารือกันในประเด็นนี้กันต่อไป"
แน่ล่ะ เพราะในเกาหลีเองก็มีผู้ติดเชื้อในแผ่นดินตัวเองถึง 5 คน มากกกว่าที่ติดเชื้อจากประเทศ 3 หลายเท่าตัว
ในฐานะคนไทย ถ้าเป็นไปได้เราควรคาดหวังว่ามันไม่ใช่การระบาดจากไทย และควรจะตั้งสมมติฐานเอาไว้ด้วยว่าหญิงชาวเกาหลีคนนี้อาจติดเชื้อในเกาหลีเอง ไม่ใช่แค่ตั้งแง่ว่าติดจากไทยแล้วแน่นอน
หน้าที่ของรัฐบาลคือการให้ข้อมูลให้มากที่สุด เปิดเผยมากที่สุด เพราะรัฐบาลไม่อาจป้องกันประชาชนทุกคนไม่ให้ติดเชื้อได้ แต่ด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง จะทำให้ประชาชนปกป้องตัวเองได้
และหน้าที่ที่สำคัญของรัฐบาลที่ไม่แพ้กัน คือการปกป้องความน่าเชื่อถือของประเทศในช่วงเวลาคับขัน
บทวิเคราะห์โดย กรกิจ ดิษฐาน