posttoday

ลูกชายฆ่าพ่อแม่หมกตู้เย็น คดีสะเทือนขวัญเมืองฮุสตัน 54 ปียังปิดไม่ลง

26 พฤศจิกายน 2562

ย้อนรอย The Icebox Murders หรือฆาตกรรมยัดตู้เย็นในเมืองฮุสตันของสหรัฐที่ยังปิดคดีไม่ลงแม้จะผ่านไปถึง 54 ปีแล้ว

ย้อนรอย The Icebox Murders หรือฆาตกรรมยัดตู้เย็นในเมืองฮุสตันของสหรัฐที่ยังปิดคดีไม่ลงแม้จะผ่านไปถึง 54 ปีแล้ว

จากประเด็นที่กำลังเป็นที่พูดถึงในบ้านเราอย่างการพบศพหญิงรายหนึ่งถูกฆ่าหั่นศพยัดตู้เย็น โดยผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งคือลูกชายวัย 20 ปีที่ตัดสินใจยิงตัวตาย แต่ก็มีการตั้งข้อสงสัยหลายอย่าง อาทิ ปืนที่ลูกชายใช้ปลิดชีพตัวเองตกอยู่ด้านขวา แต่ผู้ตายถนัดซ้าย เป็นต้น

ในต่างประเทศมีคดีที่คล้ายๆ กับคดีดังกล่าวหลายคดี แต่ที่น่าสนใจคือ คดีฆ่าพ่อแม่หมกตู้เย็นที่เกิดขึ้นที่เมืองฮุสตัน รัฐเทกซัสของสหรัฐเมื่อปี 1965 ซึ่งมีผู้ต้องสงสัยเป็นลูกชายที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นจนถึงตอนนี้ตำรวจก็ยังไม่สามารถคลี่คลายปมสังหารและจับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ กลายเป็นหนึ่งในคดีสะเทือนขวัญที่สุดของเมืองฮุสตัน

ย้อนไปเมื่อ 54 ปีที่แล้ว ชาร์ลส์ โรเจอร์ อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวและนักบินวัย 43 ปี อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับ เฟร็ด คริสโตเฟอร์ และเอ็ดวินา โรเจอร์ส พ่อและแม่วัย 81 และ 79 ปีตามลำดับ แต่จู่ๆ มาร์วิน มาร์ติน หลานชายติดต่อทั้งคู่ไม่ได้หลายวัน เมื่อมาเคาะประตูบ้านก็ไม่มีเสียงตอบรับ จึงตัดสินใจแจ้งตำรวจ

เมื่อเจ้าหน้าที่พังประตูเข้าไปข้าวของภายในบ้านดูปกติเรียบร้อยดี ยกเว้นอาหารที่ถูกตั้งทิ้งไว้ในห้องนั่งเล่น เจ้าหน้าที่อีกรายที่เปิดตู้เย็นก็พบกับเนื้อที่ผ่านการล้างแล้วแต่ไม่ได้ใส่ถุงห่อหุ้มวางเรียงอย่างเรียบร้อยอยู่ในช่องต่างๆ ตอนแรกเจ้าหน้าที่คิดว่าเป็นเนื้อหมู ทว่าต้องผงะเมื่อกำลังจะปิดตู้เย็นแล้วเหลือบไปเห็นศีรษะมนุษย์ 2 ศีรษะวางอยู่ในช่องแช่ผัก

ทั้งสองศีรษะก็คือศีรษะของสองสามีภรรยา และเนื้อที่เจ้าหน้าที่คิดว่าเป็นเนื้อหมูก็คือชิ้นส่วนแขนขาและลำตัวของทั้งคู่ ต่อมาเจ้าหน้าที่ยังพบอวัยวะภายในของผู้ตายในท่อระบายน้ำใกล้บ้าน ที่บ่งบอกว่าอวัยวะเหล่านี้ถูกควักออกมาหั่นแล้วทิ้งลงชักโครก ขณะที่ชิ้นส่วนที่เหลือไม่เคยถูกพบอีกเลย

บรรดานักข่าวต่างขนานนามคดีนี้ว่า The Icebox Murders หรือ ฆาตกรรมยัดตู้เย็น จากลักษณะการเก็บชิ้นส่วนของเหยื่อไว้ในตู้เย็น

จากการชันสูตรศพพบว่าสองสามีภรรยาถูกฆ่าโหดตั้งแต่วันที่ 20 มิ.ย. 1965 ซึ่งตรงกับวันพ่อ โดยเฟร็ดผู้เป็นพ่อถูกค้อนทุบที่ศีรษะ ถูกควักลูกตา และอวัยวะเพศถูกตัด ส่วนเอ็ดวินาถูกทุบตีและถูกยิงศีรษะในลักษณะที่เหมือนเป็นการลงโทษ โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่าร่างของทั้งคู่ถูกหั่นที่ห้องน้ำชั้นบนของบ้านโดยฝีมือของ “บุคคลที่รู้จักการวิภาคของมนุษย์อย่างดี”

แม้ฆาตรกรจะชำระล้างเลือดของผู้ตายอย่างดี แต่เจ้าหน้าที่พบรอยเลือดหลงเหลือในบริเวณบ้าน รวมทั้งในห้องนอนของลูกชาย และเลื่อยเจาะรูกุญแจที่เปื้อนเลือด ส่วนค้อนพบอยู่ในบ้านแต่เจ้าหน้าที่ไม่ยืนยันว่าพบรอยนิ้วมือหรือไม่ แต่กลับไม่พบตัวเจ้าของห้องที่กลายเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง แม้ต่อมาตำรวจจะตามหาตัวเขาแทบพลิกแผ่นดิน แต่ก็ไม่เคยพบลูกชายของบ้านนี้อีกเลย

มีการเปิดเผยหลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญว่า ชาร์ลส์เป็นคนรักสันโดษ และมักจะคุยกับพ่อแม่ผ่านกระดาษโน้ตที่สอดผ่านประตู จนเพื่อนบ้านบางคนยังไม่ทราบว่าเจ้าตัวอาศัยอยู่กับพ่อแม่ เพราะมักจะออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่และกลับเข้าบ้านค่ำๆ

จนกระทั่งในปี 1975 หรือ 10 ปีหลังจากเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้ประกาศให้ชาร์ลส์เป็นบุคคลสาบสูญทางกฎหมาย เพื่อจัดการทรัพย์สิน คดีนี้จึงยังไม่มีการจับกุมผู้กระทำผิดและยังปิดไม่ลงจนถึงทุกวันนี้

อย่างไรก็ดี ในปี 1997 ฮิวจ์ การ์เดนเนียร์ เจ้าหน้าที่นิติบัญชีศาสตร์ และมารธา การ์เดนเนียร์ นักสืบมือสมัครเล่น เจ้าของหนังสือ The Ice Box Murders ตั้งทฤษฎีว่าแรงบันดาลใจในการลงมือของชาร์ลส์คือ เขาถูกพ่อแม่ทำร้ายร่างกายและจิตใจตั้งแต่เด็กๆ เมื่อเขาโตขึ้นพ่อแม่ยังโกงที่ดินที่เขาเป็นเจ้าของด้วยการปลอมลายเซ็น อีกทั้งชาร์ลส์ยังเป็นเจ้าของบ้านที่ทั้งสามคนอาศัยอยู่ แต่แม่กลับนำบ้านไปจำนองแล้วเอาเงินไปใช้เสียเอง ทำให้เกิดความโกรธแค้น

นอกจากนี้ สองสามีภรรยากาเดนเนียร์ยังระบุในหนังสืออีกว่า หลังจากลงมือฆ่า ชาร์ลส์หนีไปยังอเมริกากลางแล้วไปเสียชีวิตที่นั่น ซึ่งแม้จะเป็นทฤษฎีที่มีความเป็นไปได้ แต่ก็ยังเป็นเพียงทฤษฎี

สุดท้ายแล้ว โลกนี้อาจไม่ได้คำตอบว่าใครฆ่าสองสามีภรรยา และฆ่าทำไม