posttoday

จีนยืมแท็คติกการควบคุมมุสลิมของสหรัฐมาใช้จัดการซินเจียง

17 พฤศจิกายน 2562

สีจิ้นผิงกระตุ้นให้ผู้นำพรรคในซินเจียงใช้นโยบายจัดการกับผู้ก่อการร้ายแบบเดียวกับนโยบายสงครามก่อการร้าย (War On Terror) ของสหรัฐ

สีจิ้นผิงกระตุ้นให้ผู้นำพรรคในซินเจียงใช้นโยบายจัดการกับผู้ก่อการร้ายแบบเดียวกับนโยบายสงครามก่อการร้าย (War On Terror) ของสหรัฐ

หนังสือพิมพ์ The New York Times เปิดเผยเอกสารลับจำนวน 403 หน้าของรัฐบาลจีนเกี่ยวกับการควบคุมเขตปกครองตนเองซินเจียง เอกสารดังกล่าวรั่วไหลออกมาโดยฝีมือของเจ้าหน้าที่ทางการเมืองของจีน ซึ่งต้องการให้ผู้เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบกับการควบคุมชาวซินเจียงอุยกูร์จำนวนมาก ซึ่งหนึ่งในผู้เกี่ยวข้องคือประธานาธิบดีสีจิ้นผิง

ในเอกสารเหล่านี้ มีแถลงการณ์ของ สีจิ้นผิงเมื่อปี 2014 หลังจากเกิดเหตุผู้ก่อการร้ายซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยชาวอุยกูร์ลงมือสังหารประชาชน 31 คนกลางสถานีรถไฟเมืองคุนหมิง ในมณฑลยูนนาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน หลังการนองเลือดครั้งนั้น สีจิ้นผิงเรียกร้องให้มีการ "ต่อสู้กับการก่อการร้าย การแทรกซึม และการแบ่งแยกดินแดน" โดยใช้ "เครื่องมือของเผด็จการ" (ซึ่งหมายถึงเผด็จการโดยรัฐตามลัทธิคอมมิวนิสต์) และกล่าวว่าจะ "ไม่มีความปรานี"

จากการรายงานของสื่อตะวันตก มีการจับกุมชาวซินเจียงถึง 1 ล้านคน ที่มีทั้งชาวอุยกูร์และคาซัก หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ทางการจีนกังวลกับสถานการณ์ในซินเจียง คือการโจมตีของกลุ่มหัวรุนแรงทางศาสนาในประเทศต่างๆ และการถอนกำลังทหารของสหรัฐออกจากอัฟกานิสถาน ทำให้ผู้ก่อการร้ายจากอัฟกานิสถานกระจายตัวเข้ามาในจีน

The New York Times รายงานว่า หลังจากเกิดการก่อการร้ายที่สะพานลอนนดอน ประเทศอังกฤษเมื่อปี 2017 เจ้าหน้าที่ในพรรคคอมมิวนิสต์จีนโจมตีนโยบายของอังกฤษที่ให้ความสำคัญกับ "สิทธิมนุษยชนอยู่เหนือความมั่นคง" และทำให้ สีจิ้นผิงกระตุ้นให้ผู้นำพรรคในซินเจียงใช้นโยบายจัดการกับผู้ก่อการร้ายแบบเดียวกับนโยบาย "สงครามก่อการร้าย" (War On Terror) ของสหรัฐ

การที่จีนใช้แนวทางสงครามก่อการร้ายของสหรัฐมาจัดการกับซินเจียง ถูกตั้งข้อสังเกตมาระยหนึ่งแล้วจากสื่อตะวันตก เช่น Akbar Shahid Ahmed แห่งสำนักข่าว HuffPost ที่ชี้ว่า จีนใช้สงครามก่อการร้ายของสหรัฐมาสร้างความชอบธรรมในการควบคุมชาวซินเจียง และบอกว่าสหรัฐซึ่งเป็นปากเป็นเสียงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในการวิจารณ์จีน กลับเป็นฝ่ายช่วยวางรากฐานการใช้นโยบายควบคุมซินเจียง โดยเฉพาะการสั่งห้ามชาวมุสลิมทำกิจกรรมหลายๆ อย่าง การส่งกำลังโจมตีผู้ก่อการร้ายใจนอัฟกานิสถาน แต่ทำให้พลเรือนผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิต และการใช้มาตรการตรวจสอบชาวมุสลิมอย่างละเอียดยิบ (hypersurveillance)

แนวทางเหล่านี้ใช้กันในสหรัฐและยังแพร่หลายในประเทศตะวันตก ต่อมาจีนนำไปใช้ในซินเจียง

ในปี 2016 หลังจากที่ เฉินเฉวียนกั๋ว รับตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ในเขตปกครองตนเองซินเจียง มีการตั้งสิ่งที่ทางการเรียกว่าค่ายอบรมอาชีพ (หรือที่ตะวันตกเรีบยกว่าค่ายกักกัน) เป็นจำนวนมาก ในเอกสารลับพบว่า เฉินเฉวียนกั๋วได้นำแถลงการณ์ของสีจิ้นผิงมาแจกจ่าย เพื่อดำเนินการปราบรามผู้ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง และสั่งการให้เจ้าหน้าที่ "จับทุกคนที่ควรจะถูกจับ"

ในเอกสารลับมีแนวปฏิบัติสำหรับเจ้าหน้าที่ เช่นแนวทารงการตอบคำถามกับนักเรียนนักศึกษาชาวซินเจียงที่ไปต่างเมือง แล้วกลับมาไม่พบคนในครอบครัวที่ถูกจับกุมไป แนวตอบคำถามคือให้บอกว่าสมาชิกในครอบครัวนั้นๆ ถูกปลูกฝัง "เชื้อร้าย" ของการก่อการร้าย และจะต้องเข้ารับการบำบัดก่อนที่อาการจะลุกลามไป

แต่มีเจ้าหน้าที่จีนที่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด นั่นคือ หวางหย่งจื้อ ซึ่งใช้อำนาจโดยพลการปล่อยตัวชาวอุยกูร์ 7,000 คนออกจากค่าย เพราะเกรงว่าการจับประชาชนมามากเกินไป จะทำให้ความขัดแย้งฝั่งลึกและยิ่งทำให้เกิดความไม่พอใจในวงกว้าง ทำให้หวางหย่งจื้อถูกสอบสวนระหว่างปี 2017 - 2018 ฐานไม่เชื่อคำสั่งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน