posttoday

คนขายชาติแซ่หลี บิ๊กสื่อที่อยู่เบื้องหลังต่างชาติยุ่งม็อบฮ่องกง

11 สิงหาคม 2562

เขาผู้นั้นคือ จิมมี ไหล่ หรือ หลีจื้ออิงเจ้าของบริษัท Next Media ซึ่งมีหนังสือพิมพ์คือ Apple Daily โดยกรกิจ ดิษฐาน

เขาผู้นั้นคือ จิมมี ไหล่ หรือ หลีจื้ออิงเจ้าของบริษัท Next Media ซึ่งมีหนังสือพิมพ์หัวสีจอมตีไข่อย่าง ผิงกัวรื่อเป้า หรือ Apple Daily รายงานโดยกรกิจ ดิษฐาน

ดูเผินๆ เหมือนการประท้วงในฮ่องกงจะไม่มีแกนนำ แต่การเปลี่ยนแท็คติกมาใช้ยุทธวิธีกองโจรและแฟลชม็อบล่าสุด ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ขบวนการนี้ต้องมีการจัดตั้งในระดับหนึ่ง และดูเหมือนทางการจีนจะทราบดี และถึงเวลาแล้วที่จะเปิดหน้าหนึ่งในผู้ที่อยู่เบื้องหลังพลังแห่งการลุกฮือต่อต้านรัฐบาลแผ่นดินใหญ่

คนๆ นี้สื่อของทางการจีนถึงกับประณามว่าเป็น "คนขายชาติแซ่หลี" (หลีฮั่นเจียน) พร้อมกับเปิดเผยหลักฐานว่าคนแซ่หลีรายนี้ไปทำอะไรไว้บ้าง ถึงได้ถูกยัดข้อหา "คนขายชาติ" ซึ่งในภาษาจีนเรียกว่าพวกฮั่นเจียน

เขาผู้นั้นคือ จิมมี ไหล่ หรือ หลีจื้ออิง เจ้าของบริษัท Next Media ซึ่งมีหนังสือพิมพ์หัวสีจอมตีไข่อย่าง "ผิงกัวรื่อเป้า" หรือ Apple Daily

Apple Daily เหมือนจะเป็นสื่อแท็บลอยด์เบาสมองได้ในยามบ้านเมืองปกติ แต่มักจะโจมีรัฐบาลจีนอยู่เสมอ และเมื่อเกิการประท้วงใหญ่ๆ ในฮ่องกง Apple Daily จะเล่นข่าวในทางโจมตีรัฐบาลอย่างหนักหน่วง และเอoเอียงเข้ากับฝ่ายผู้ประท้วงอย่างชัดเจน

หากจะจำแนกสื่อในฮ่องกงตอนนี้จะแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มต่อต้านรัฐบาลนำโดย Apple Daily กลุ่มเป็นกลางหรือพยายามถ่วงดุล เช่น South China Mornimg Post และสื่อเอียงรัฐบาลจีน เช่น ต้ากงเป้า

จิมมี ไหล่ หรือ หลีจื้ออิง แห่ง Apple Daily มีบทบาทมากในการประสานงานการประท้วงและที่จีนไม่พอใจที่สุดคือการไปประสานงานกับสหรัฐ ถึงขนาดที่เอ่ยปากบอกว่าสหรัฐคือผู้อยู่เบื้องหลังการต่อต้านจีนในฮ่องกง (เอ่ยในเวทีสัมนนาของ Foundation for Defense of Democracies)

เขาบอกว่า "เราจำเป็นต้องรู้ว่าสหรัฐอยู่เบื้องหลังเรา ... ซึ่งกำลังต่อสู้กับสงครามเดียวกับที่คุณ (สหรัฐ) กำลังทำกับจีน เราอยู่ข้างเดียวกับคุณ สละชีวิตของเรา เพื่อเสรีภาพ และทุกสิ่งที่เรามี ต่อสู้ที่แนวหน้าเพื่อคุณ ... เรากำลังทำสงครามเดียวกับคุณในดินแดนศัตรูของคุณ ... แล้วแบบนี้พวกคุณควรสนับสนุนเราหรือไม่?"

ในช่วงเวลาเดียวกับที่มีข่าวว่า โจชัว หว่องไปพบเจ้าหน้าที่สถานกงสุลสหรัฐ ไล่เลี่ยกันนั้นเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม หลีจื้ออิง พร้อมด้วยสมชิกร่วมอุดมการณ์อีก 3 คน ที่มีเจตนาเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านจีน ได้ไปดินเนอร์กับชาวต่างชาติคนหนึ่ง

สื่อของทางการจีนเรียกคนเหล่านี้ว่า "แก๊งตัวปัญหาสี่คน" ที่เป็นกุนซือและมันสมองของขบวนการต่อต้านจีน ได้แก่ หลี่จื๊ออิง, หลี่จู้หมิง, เฉินฟางอันเซิง และเฉินรื่อจวิน คนเหล่านี้มักติดต่อกับต่างชาติ และไปกล่าวปาฐกถาในต่างประเทศเพื่อต่อต้านจีน

หลี่จื๊ออิง ดูเหมือนจะมีจุดยืนไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่สุด ถึงกับเคยด่าอดีคตนายกรัฐมนตรีหลี่เผิงว่า "ไปตายซะ" แถมยังมีมือขวาเป็นชาวอเมริกันชื่อ มาร์ก ไซมอน (Mark Simon) ซึ่งมักถูกสื่อจีนตั้งข้อสงสัยว่าเป็น CIA เพราะเคยเป็นอดีตทหารเรือและยังสัรทธาพรรครีพับลิกันอย่างเหนียวแน่น

เมื่อเดือนกรกฎาคม หลี่จื๊ออิงยังพบปะกับรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ แหงสหรัฐ และมาร์ก พอมพีโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐด้วย ถ้าเขาเป็นนักเคลื่อนไหวธรรมดาสามัญคงไม่ได้รับอภิสิทธิ์ขนาดนี้

ย้อนกลับไป ตอนที่เกิดการประท้วงใหญ่เมื่อปี 2014 หรือการประท้วงร่มเหลือง หลีจื้ออิงก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน โดยสื่อในไต้หวันเผยว่า เขาผู้นี้คือผู้ที่ชักใหญ่อยู่เบื้องหลังการชุมนุมใหญ่ต่อต้านรัฐบาลที่ปักกิ่ง มีการเตรียมการ และการวางแผนอย่างดีเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

ไม่เฉพาะแค่ฮ่องกงเท่านั้น หลีจื้ออิงยังสร้างแนวรบต่อต้าน จีนด้วยการเชิญแกนนำประท้วงที่ไต้หวันในเหตุการณ์ Sunflower revolution มาหารือเรื่องการจัดม็อบ การกำหนดจุดปักหลัก และการรับมือต่างๆ กระทั่งแกนนำไต้หวันถามหลีจื้ออิง ว่าคิดทำเช่นนี้ พร้อมที่จะติดคุกหรือไม่? เจ้าพ่อสื่อลั่นวาจาว่า เขาพร้อมจะตายเลยทีเดียว

ตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดทราบเจตนาที่แท้จริงของ หลีจื้ออิง ว่าทุ่มสุดตัวไปเพื่ออะไร แต่จากโปร์ไฟล์ในวิกิพีเดีย เล่าว่า เขามีหัวใจประชาธิปไตยหลังจากเกิดกรณีเทียนอันเหมิน จึงสลัดคราบพ่อค้าที่มั่งคั่ง มาเป็นผู้ต่อสู้เพื่อเสรีภาพ จนกระทั่งตั้งสื่อที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลจีนมาโดยตลอดนับตั้งแต่ก่อนส่งคืนฮ่องกงให้จีน ต่อมาเขายังเป็นผู้ปลุกระดมมวลชนมาตั้งแต่การประท้วงใหญ่ปี 2003 จนกระทั่งถูกภาคธุรกิจคว่ำบาตรอย่างหนัก เพราะไปท้าทายรัฐบาลกลางมากเกินไป จนรายได้หดหายมหาศาล

ในตอนนี้ ดูเหมือนผู้บริหารฮ่องกงกับตำรวจจะนิ่งๆ ไม่ออกตัวแรงเหมือนตอนแรกที่เกิดการประท้วง แต่ขณะเดียวกัน แคร์รี่ หลั่มก็ออกมาบอกกล่าวว่า ตอนนี้เศรษฐกิจแย่ยิ่งกว่าตอนวิกฤตซาร์สปี 2003 เสียอีก  เหมือนกับว่าจีนต้องการใช้ประเด็นนี้เป็นอาวุธทางจิตวิทยาให้ภาคธุรกิจอดรนทนไม่ไหว แล้วออกมาเล่นงานหลีจื้ออิงเหมือนปี 2003