เลิกนั่งตบยุงในตลาด ดูตัวอย่างจีนปลูก/ส่ง/ขายในสังคมไร้ตลาด
ทำความรู้จักกับเหม่ยช่าย "ผักสวยๆ รวยพันล้าน" กิจการสตาร์ทอัพที่เชื่อมโยงผู้บริโภคเข้ากับแหล่งผักสดโดยไม่ต้องรอตลาด
ขณะที่ผู้ค้าเมืองไทยบ่นเรื่องตลาดวาย ไม่มีคนเดินจนต้องนั่งตบยุง แต่ในประเทศทีค่การปฏิวัติดิจิทัลล้ำหน้า ตลาดที่เป็นตัวเป็นตนเริ่มไร้ความหมาย สินค้าและบริการถูกส่งผ่านจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภคโดยตรง หรือผ่านจะผ่านบริษัทคนกลาง และถึงมือโดยเครือข่ายดิลิเวอรี่ จ่ายด้วยระบบไร้เงินสด
Digital disruption ไม่ได้เกิดกับการเสพคอนเทนต์หรือสื่อมวลชนเท่านั้น แต่กำลังเกิดขึ้นกับภาคการผลิตและการบริโภคด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือจีน
ประสบการณ์อีคอมเมิร์ซและสังคมไร้เงินสดของจีนมีเรื่องให้แบ่งปันกันได้ไม่รู้จักจบสิ้น แต่ในวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับระบบ "ไร้ตลาด" ที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ปลูก ผู้ขาย และผู้บริโภคโดยตรงกันก่อน
สตาร์ทอัพจีนสายไร้ตลาด ที่สื่อตะวันตกมักพูดถึงอยู่บ่อยๆ คือ เหม่ยช่าย (Meicai / 美菜) ธุรกิจขายผักที่มีมูลค่าตลาดถึง 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ตัวเลขจาก Bloomberg) มีรายได้ 1,4000 ล้านเหรียญ สามารถระดมทุนรอบล่าสุดได้ถึง 600 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปี 2018 รวมแล้วระดมทุนได้ถึง 800 ล้านเหรียญแค่ตัวเลขเหล่านี้ก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้นมาไม่น้อยแล้ว
เหม่ยช่ายเป็นสตาร์ทอัพสายเลือดปักกิ่ง แต่มีเป้าหมายครอบคลุมทั้งประเทศ ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 เพื่อเป็นผู้จัดจำหน่ายผักให้กับร้านอาหารขนาดกลางและขนาดย่อมทั่วแผ่นดินจีนโดยไม่ต้องพึ่งพาตลาดอีกต่อไป
สำหรับคนจีนแล้ว “เรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่” จนกระทั่งมีคำกล่าวว่า “ใครทำให้คนจีนท้องอิ่มได้ คนนั้นสามารถครองแผ่นดิน” ดังนั้น ธุรกิจเกี่ยวกับของกินจึงไม่เคยอับจน แต่มันอาจจะไม่นำเทรนด์ เพราะเป็นเรื่องของปัจจัยสี่ เว้นแต่ว่าเจ้าของสตาร์ทอัพจะมีความคิดสร้างสรรค์และความฝันที่กว้างไกลเหมือนเจ้าของเหม่ยช่าย
หลิวฉวนจวิน วัย 36 ปี เป็นลูกชายของเกษตรกรชาวมณฑลชานตง ที่ครั้งหนึ่งเกือบจะไม่ได้ลืมตามาดูโลก เพราะพ่อแม่ของเขามีลูกเกิน 2 คน ขัดต่อนโยบายลูกคนเดียวของรัฐบาล แม่ของเขาจึงถูกบังคับให้ทำแท้ง แต่เดชะบุญที่ทารกน้อยเกิดมากลางคัน ก่อนที่จะเข้ากระบวนการทำแท้ง ประสบการณ์เฉียดตายตั้งแต่ยังไม่ทันได้เกิดกระมัง จึงทำให้ หลิว ไม่ยอมเสียโอกาสอันมีค่าในชีวิต
พ่อแม่ของ หลิว ก็คงรู้สึกว่าการไม่ทำแท้งลูกคนนี้เป็นอะไรที่เฮงมากๆ เพราะเมื่อเติบโตขึ้นมา ลูกชายกลายเป็นเด็กที่เรียนเก่ง สมองปราดเปรื่องถึงขนาดสำเร็จการศึกษาด้านอากาศยานอวกาศและดาราศาสตร์ ในระดับปริญญาโท จากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ และเคยทำวิจัยเกี่ยวกับจรวดเสินโจว 6 และ 7 เรียกได้ว่า มีดีกรีพร้อมสรรพสำหรับการเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับมันสมองของวงการอวกาศจีน
แต่ หลิว เลือกที่จะเดินในเส้นทางที่ตัวเองเลือกมากกว่า เขาหันมาทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซและตั้งเว็บไซต์สำหรับซื้อขายที่ชื่อ Wowo หรือ 55tuan ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นแนสแด็กของสหรัฐ แต่ขายไปในปี 2011 เพื่อโฟกัสกับเหม่ยช่าย
อะไรดลใจให้เขาเปลี่ยนจากการตะกายดาวมาเป็นการขุดดินกินผัก?
อาจเป็นเพราะว่าพื้นเพของครอบครัวเป็นเกษตรกรมาแต่ไหนแต่ไร ตอนที่เขาได้ดิบได้ดีแล้วพ่อแม่ที่บ้านเกิดก็ยังต้องทำงานแบบหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินกันอยู่ ส่วน หลิว เองก็บอกกับนิตยสาร WIRED ว่า เขามีความผูกพันกับการทำนาทำไร่ที่บ้านเกิด และนี่เองอาจเป็นเหตุให้เขาหันมาทำกิจการด้านนี้ เพราะมันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขารักนั่นเอง
หลักการแบบคร่าวๆ ของเหม่ยช่าย คือการทำหน้าที่เป็นคนกลางซื้อขายระหว่างเกษตรกรผู้ปลูกผักกับร้านอาหาร เขาโฆษณาว่าสามารถลดรายจ่ายไปได้ถึง 36% โดยมีตัวเลือกสินค้ามากมายนับหมื่นประเภท สามารถซื้อขายผ่านระบบเงินออนไลน์ของอาลีเพย์หรือวีแชท ปัจจุบันครอบคลุม 100 เมืองทั่วประเทศ ที่สำคัญรับประกันเรื่องความสะอาด
เช่นเดียวกับธุรกิจหลายๆ แห่งในแดนมังกรตอนนี้ ที่ผูกกิจการเข้ากับเครือข่ายออนไลน์และธุรกรรมไร้เงินสด เหม่ยช่ายทำธุรกิจและธุรกรรมผ่านแอพพลิเคชั่น เพียงแค่คลิกนิ้ว สินค้า (ซึ่งก็คือผักต่างๆ) จะไปถึงลูกค้าอย่างรวดเร็ว เพราะมีบริการส่งสินค้าตลอดเวลา ส่วนเหม่ยช่ายก็ไม่ต้องเสียเวลาเคลมเงิน เพราะทำทุกอย่างผ่านระบบไร้เงินสด
ปัจจุบันเหม่ยช่ายเป็นธุรกิจค้าผักสดและผลิตภัณฑ์เกษตรผ่านระบบอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในจีน เป้าหมายของพวกเขาคือ การเปลี่ยนระบบเกษตรพาณิชย์ที่ล้าหลังของประเทศให้มีความก้าวหน้า ด้วยหลักการสั้นๆ แต่ครอบคลุมทุกมิติของบริการว่า
“สองปลายทางหนึ่งคู่ หนึ่งแพลตฟอร์ม” (เหลี่ยง ตวน อี เลี่ยน อี้ ผิงไถ) สองปลายทาง หมายถึงเกษตรกรกับผู้บริโภค ส่วนแพลตฟอร์ม หมายถึงเหม่ยช่ายนั่นเอง
นิตยสาร WIRED ตั้งข้อสังเกตได้อย่างคมคายว่า เหม่ยช่ายได้บรรลุวัตถุประสงค์ของ เหมาเจ๋อตง ในการสร้างระบบคอมมูน หรือระบบนารวมที่สมบูรณ์พร้อมแล้ว ด้วยการสร้างเครือข่ายคนปลูก คนขาย และคนซื้ออย่างครบวงจรและสมเหตุสมผล ขณะที่ เหมาเจ๋อตง บริหารนโยบายนารวมผิดพลาดจนมีคนล้มตายนับล้าน
ส่วนเหม่ยช่ายกลับทำให้เกษตรกรมีกินมีใช้ ไม่ต้องกังวลกับราคาพืชผลตกต่ำและพื้นที่ตลาด ส่วนคนซื้อก็ไม่ต้องเสียเวลาไปตลาด หรือกังวลจะหาซื้อสินค้าไม่ได้ แถมยังก้าวไกลด้วยวิถีแห่งสังคมไร้เงินสด
แต่ตลาดออนไลน์ที่ไม่ต้องมานั่งตบยุงนี้กำลังเป็นสนามการแข่งขันที่ดุเดือดมาก เพราะมันช่างหอมหวนด้วยเม็ดเงินหลายพันล้าน ทำให้ตอนนี้เหม่ยช่ายมีคู่แข่งขึ้นมาแล้ว และเป็นคู่แข่งที่ทรงอิทธิพลมาก
ในโอกาสต่อไปเราจะมาทำความรู้จักกับคู่แข่งสำคัญในสังคมไร้ตลาดของจีน