อดีตนายพลผู้สมัครชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีอินโดฯ ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้เลือกตั้ง
ปราโบโว ซูเบียนโต พยายามอ้างชัยชนะในการเลือกตั้ง แม้ผลคะแนนของโจโกวีผู้สมัครคู่แข่งนำทิ้งห่าง
ปราโบโว ซูเบียนโต พยายามอ้างชัยชนะในการเลือกตั้ง แม้ผลคะแนนของโจโกวีผู้สมัครคู่แข่งนำทิ้งห่าง
ผลการเลือกตั้งทั่วของอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมาปรากฎเป็นที่แน่ชัดแล้วว่านายโจโก วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซียคนปัจจุบันจะได้รับคะแนนเสียงนำมาเป็นอันดับหนึ่งที่ 55.62% เอาชนะนายปราโบโว ซูเบียนโตที่ 44.38% ผลการนับคะแนนจาก CSIS - Cyrus Network ขณะที่ผลการนับคะแนนจาก Litbang Kompas โพลอีกสำนักระบุว่า โจโกวีมีคะแนนเสียงนำ 54.43% คะแนนนำเหนือนายซูเบียนโตที่ 54.57%
แม้ว่าผลคะแนนนี้จะเป็นการนับคะแนนเป็นเร็ว และยังไม่ใช่การประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจากกกต.อินโดนีเซียก็ตาม โดยทางกกต.อินโดฯจะประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการได้ในช่วงเดือนพฤษภาคม แต่ก็ค่อนข้างชัดเจนว่านายโจโกวีจะได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้นำอินโดนีเซียสมัยที่สอง ถึงขนาดที่ผู้นำประหลายประเทศโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ และมาเลเซียต่อสายแสดงความยินดีกับโจโกวีโดยตรง
ปราโบโว ซูเบียนโต
แต่ดูเหมือนว่านายปราโบโว ซูเบียนโต วัย 67 ปี ซึ่งเป็นอดีตนายพลของกองทัพอินโดฯที่หันมาลงเล่นการเมืองจะไม่ยอมรับผลการนับคะแนนครั้งนี้ แถมยังอ้างว่าตนเองได้รับคะแนนเสียงเหนือนายโจโกวี พร้อมประกาศชัยชนะเตรียมเป็นผู้นำอินโดนีเซียคนต่อไปด้วย
อะไรทำให้นายซูเบียนโตมั่นใจว่าตนเองเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้แม้ว่านายโจโกวีมีคะแนนนำ
เมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมาสื่อท้องถิ่นของอินโดนีเซียได้รายงานว่า มีผู้สนับสนุนนายซูเบียนโตจำนวนหลายร้อยคนไปชุมนุมให้กำลังใจที่หน้าบ้านพักของเขา พร้อมทั้งประกาศว่าผลการนับคะแนนเร็วที่นายโจโกวีได้รับคะแนนเสียงมาเป็นอันดับหนึ่งนั้นเป็น"โพลที่โกหก"
นายซูเบียนโตได้อ้างว่าช่วงที่มีการนับคะแนนหลังปิดหีบเลือกตั้งนั้น ทางพรรคของเขาได้ส่งคนไปสังเกตการนับคะแนนในหน่วยเลือกตั้งราว 320,000 หน่วย จากหน่วยเลือกตั้งทั้งหมดทั่วประเทศที่มีอยู่กว่า 800,000 หน่วย โดยบอกว่าเขาและผู้สมัครคู่หูของเขาได้รับคะแนนเสียงมากถึง 62% ของผู้มีสิทธิลงคะแนนชาวอินโดนีเซียกว่า 150 ล้านเสียง ซึ่งมากกว่านายโจโกวี
อีกทั้งการเลือกตั้งครั้งนี้ต่างจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาของอินโดนีเซีย เนื่องจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องกาลงคะแนนทั้งหมด 5 ใบซึ่งเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดี เลือกสมาชิกสภานิติบัญญัติสำหรับทั้งรัฐสภาระดับท้องถิ่นและระดับชาติในครั้งเดียวกันเป็นครั้งแรก
"คุณเชื่อในผลโพลมั้ย ไม่หรอ เพราะมันเป็นโพลที่หลอกลวง" นายพลซูเบียนโตกล่าวกับกลุ่มผู้สนับสนุนซึ่งเป็นชาวมุสลิมสายเคร่งศาสนา
"บางทีคนพวกนี้ควรย้ายออกไปจากประเทศ พวกเขาควรไปอยู่ขั้วโลกใต้ซะ บางทีเพกวินอาจฟังคำโกหกของพวกคุณ อินโดนีเซียไม่ต้องการคำโกหกเหล่านี้"
โจโก วิโดโด
ผลสำรวจทุกสำนักต่างเผยผลการนับคะแนนเร็วตรงกันว่านายโจโกวีได้คะแนนนำเหนือนายพลซูเบียนโต รวมถึงสื่อหลักของอินโดนีเซียก็ต่างรายงานผลการเลือกตั้งที่ตรงกันว่าโจโกวีจะเป็นผู้นำอินโดนีเซียสมัยที่สอง
สื่อฮ่องกงอย่าง เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ได้สัมภาษณ์นักจิตวิทยาการเมืองที่สังเกตการเลือกตั้งของอินโดนีเซียว่า การที่นายพลปราโบโวเชื่อมันว่าตนจะได้รับชัยชนะนั้นส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความ"หลงตัวเอง"ของเขา ซึ่งคาดหวังกับการได้นั่งเก้าอี้ผู้นำสูงสุดของประเทศอย่างมาก
ด้วยวัย 67 ปีนั้นหมายความว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ จะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายที่เขาโลดแล่นในการเมือง แทบเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะลงสมัครเลือกตั้งสมัยหน้าในปี 2024 รวมถึงเขายังเคยแพ้การเลือกตั้งชิงตำแหน่งผู้นำอินโดมาแล้วถึง 3 ครั้งในปี 2009 และ 2014 ซึ่งแพ้โจโกวีไปเพียง 6 จุด
Andik Matulessy นักวิเคราะห์การเมืองจากมหาวิทยาลัยซูราบายาของอินโดนีเซียให้ความเห็นไว้ว่า "ปราโบโวคาดหวังกับอำนาจอย่างมาก เขาวาดภาพตัวเป็นในฐานะผู้นำ ตั้งแต่สมัยเป็นผู้นำกองทัพแล้ว ซึ่งเป้าหมายต่อไปคือการเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศ"
ขณะที่ Hamdi Muluk ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติอินโดนีเซียซึ่งหนึ่งในทีมนักจิตวิทยาที่วิเคราะห์ลักษณะของโจโกวี และซูเบียนโต ในการเลือกตั้งปี 2014 ระบุว่า "เราพบความหลงผิดในอัตตาอันสูงส่งของปราโบโว บุคลิกของเขาแสดงให้เห็นว่าตนเองเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ มันจึงเป็นสิ่งที่ช็อกสำหรับเขาเมื่อพบว่าตนเองแพ้การเลือกตั้งถึง 3 ครั้ง"
"ปราโบโวอาจคิดว่าชาวมุสลิมทุกคนในอินโดนีเซียให้การสนับสนุนเขาในครั้งนี้เนื่องจากเขาได้เสียงสนับสนุนจากบรรดานักบวชมุสลิมหัวอนุรักษ์หลายคน แต่เขาลืมไปว่าชาวมุสลิมอินโดนีเซียซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศประกอบไปด้วยชาวมุสลิมหลายรูปแบบทั้งมุสลิมสายกลาง และชาวมุสลิมหัวก้าวหน้า"
สุดท้าย ศ.Muluk เชื่อว่านายพลปราโบโวจะยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ไปเองโดยปริยาย