จับเทรนด์ 8 ประเด็นโลก 2019
โดยทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์
โดยทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์
ตลอดปี 2018 ที่ผ่านมานับว่าเป็นปีที่มีข่าวคราวความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่ได้สร้างผลกระทบมากมาย แต่ทว่าในปี 2019 หลายประเด็นที่ต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วอาจจะดุเดือดหรือเริ่มปรากฏชัดขึ้น เช่น เรื่องสงครามการค้า เบร็กซิต และการเลือกตั้งของหลายชาติในเอเชีย รวมถึงการเลือกตั้งประเทศไทยด้วย
1.ผวาสงครามการค้า
แม้ “สหรัฐ” และ “จีน” ยังอยู่ในช่วงพักรบสงครามการค้า 90 วัน และเร่งจัดการเจรจาให้ได้ข้อตกลงภายในเส้นตาย วันที่ 1 มี.ค. 2019 แต่บลูมเบิร์กคาดการณ์ว่ายังมีความเสี่ยงสูงว่าสงครามการค้าระหว่าง สองชาตินี้จะกลับมาดุเดือดอีกครั้ง แม้จีนพยายามอ่อนข้อให้สหรัฐในหลายประเด็น ทั้งการซื้อสินค้าเกษตร พยายามแก้กฎหมายเปิดตลาดให้ต่างชาติ เช่นเดียวกับการแก้ไขเรื่องบีบเอกชนต่างชาติโอนเทคโนโลยีด้วย นอกจากนี้ ในเดือน ก.พ. 2019 กระทรวงพาณิชย์สหรัฐอาจตัดสินใจตั้งกำแพงภาษีนำเข้ากับรถยนต์ และชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้าจากทุกชาติ ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เคยสั่งให้สอบสวนโดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง
2.เบร็กซิตจ่อเดดไลน์
อังกฤษมีกำหนดถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (อียู) วันที่ 29 มี.ค. 2019 แต่การเจรจาข้อตกลงเบร็กซิต ยังไม่ได้บทสรุปที่ชัดเจน เนื่องจากรัฐสภาอังกฤษยังไม่รับรองข้อตกลงที่นายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ เจรจากับอียู โดยอ้างว่าข้อตกลงดังกล่าวอ่อนข้อให้อียูมากเกินไป และมีความเสี่ยงว่าอังกฤษอาจจะต้องถอนตัวออกจากอียูตามกำหนดเดิมโดยไร้ข้อตกลง (No deal) สร้างความกังวลเรื่องผลกระทบต่อเศรษฐกิจและธุรกิจ
3.มรสุมทรัมป์ชี้ชะตาโลก
โรเบิร์ต มุลเลอร์ อัยการพิเศษสหรัฐ กำลังสืบสวนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทีมแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ และรัสเซีย ในการเลือกตั้งสหรัฐ ปี 2016 ซึ่งคาดว่าอาจรู้ผลช่วงครึ่งแรกของปี 2019 และถ้าหากผลออกมาว่ามีการแทรกแซงเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ทรัมป์จริง อาจถึงขั้นร้ายแรงสุดคือการยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี (อิมพีชเมนต์)
อนาคตของทรัมป์ยังเป็นตัวกำหนดชะตาของการเมืองโลกในหลายประเด็น เช่น สงครามการค้ากับจีน ข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน สนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง (ไอเอ็นเอฟ) กับรัสเซียที่วอชิงตันขู่ถอนตัว และยังมีผลกับการปลดนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ ซึ่งทรัมป์อาจพบผู้นำเกาหลีเหนืออีกครั้งในปีนี้
4.จับตา 4 เลือกตั้งเอเชีย
ปี 2019 ยังอาจได้ว่าเป็นปีแห่งการเลือกตั้งของเอเชีย เช่น การเลือกตั้งของประเทศไทย ที่จะเป็นประธานอาเซียนในปีหน้านี้ด้วย การเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ซึ่งในครั้งนี้ ประธานาธิบดี โจโก วิโดโด ลงสมัครชิงตำแหน่งอีกครั้งดวลกับ ปราโบโว ซูเบียนโต ผู้ท้าชิงหน้าเดิม และการเลือกตั้งอินเดีย นอกจากนี้ยังมีการเลือกตั้งกลางเทอมของฟิลิปปินส์ ซึ่งจะเป็นบททดสอบผลงานที่ผ่านมาของประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต ขณะเดียวกัน ปี 2019 ยังมีการเลือกตั้งรัฐสภายุโรป เดือน พ.ค. และยังมีความเป็นไปได้ว่าสิงคโปร์อาจจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนดเดิม 2021 เร็วขึ้น 1-2 ปี
5.ดีเดย์เข้ายุค 5จี
เทคโนโลยีเครือข่าย 5จี จะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในปี 2019 เนื่องจากหลายชาติจะเริ่มการประมูลคลื่นความถี่ 5จี ขณะที่ค่ายมือถือดัง เช่น ซัมซุง หัวเว่ย และแอปเปิ้ล คาดว่าจะเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ที่สามารถรองรับการใช้ 5จี ในปีหน้า แม้คาดว่าจะยังไม่มีการปรับใช้ 5จี อย่างจริงจังจนกว่าจะถึงปี 2020
ทั้งนี้ 5จี นับว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่แห่งอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถในการสื่อสาร การถ่ายทอดสดวิดีโอความละเอียดสูง เช่น การจัดคอนเสิร์ตหรือกีฬา และเป็นหัวใจสำคัญของนวัตกรรมรถยนต์ไร้คนขับด้วย
6.สงครามรถยนต์ EV แข่งดุ
การแข่งขันพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) กำลังจะร้อนแรงยิ่งขึ้นโดยเฉพาะจีน ตลาดรถยนต์อันดับ 1 ของโลก ที่รัฐบาลมีแผนจะหั่นการอุดหนุนให้กับผู้ผลิต ลดการอุดหนุนจากรัฐบาล และบีบให้เร่งพัฒนารับการแข่งขันจากต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในจีนมากขึ้น และล่าสุด เทสลา มอเตอร์ ค่ายรถชื่อดังจากสหรัฐ จะเริ่มการผลิตในโรงงานที่เซี่ยงไฮ้ปีหน้านี้ด้วย
7.ชิงมหาอำนาจ AI
สหรัฐและจีนสองชาติมหาอำนาจด้านระบบปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ส่อเค้าแข่งขันพัฒนาเอไอดุเดือดยิ่งขึ้น โดยหัวเว่ย เทคโนโลยีส์ ประกาศแผนพัฒนาชิปประมวลผลเอไอ ถือว่าเป็นความพยายามผลักดันเอไอของจีน และลดการพึ่งพาผู้ผลิตสหรัฐอย่างอินเทลและเอ็นวิเดีย นอกจากนี้จีนยังได้เปิดตัวผู้ประกาศข่าวทางโทรทัศน์
แบบเอไอคนแรกของโลกอีกด้วย
ขณะเดียวกันเอไอยังมีแนวโน้มเป็นเครื่องมือในอุตสาหกรรมมากขึ้นด้วย เพื่อลดการใช้แรงงานคน และประหยัดต้นทุน โดยบริษัทที่ปรึกษาการ์ทเนอร์ คาดการณ์ว่า ภายในปี 2019 เอไอจะทำให้คนตกงาน 1.8 ล้านคน โดยเฉพาะภาคการผลิต แต่จะสร้างงานใหม่ได้ 2.3 ล้านคน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการศึกษา การดูแลสุขภาพ และบริการสาธารณะ
8.ค้าปลีกสู่ยุคใหม่เต็มตัว
ธุรกิจค้าปลีกจะเข้าสู่ยุคใหม่อย่างเต็มตัวมากขึ้น หลังได้เริ่มการทดลองใช้เทคโนโลยีใหม่ตลอดปี 2018 หนึ่งในนั้นคือ การปรับใช้เทคโนโลยีร้านค้าปลีกไร้แคชเชียร์ นำโดยแอมะซอน
ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ เช่นเดียวกับเซเว่น อีเลฟเว่น จากญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีกระแส “นิว รีเทล” หรือค้าปลีกที่ผสมทั้งออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันนำโดยอาลีบาบา กรุ๊ป ยักษ์
อี-คอมเมิร์ซ จีน โดยลาซาด้า บริษัทในเครืออาลีบาบา มีแผนจะนำนิว รีเทลเข้ามาสู่อาเซียน และจะให้ไทยเป็นต้นแบบด้วย