posttoday

จีนเฟ้อมะกันฝ่อ

25 ธันวาคม 2552

โดย...ธนพล ไชยภาษี [email protected]

โดย...ธนพล ไชยภาษี [email protected]

คณะกรรมาธิการกำกับดูแลภาคธนาคารจีน (ซีอาร์บีซี) ออกโรงเตือนธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังการปล่อยกู้มากขึ้น และจะต้องหลีกเลี่ยงความเสี่ยง และจะต้องกันทุนสำรองสำหรับความเสี่ยงและหนี้เสียตามที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนักจากภาครัฐจีนครับ จีนออกมาเตือนภาคธนาคารกันอย่างนี้ ก็แสดงว่าเสียงเตือนจากหลายๆ ฝ่ายดังไปถึงหูจีนอย่างเต็มๆ ว่าขืนจีนปล่อยให้ทุนทะลักเข้าสู่ตลาดโดยไม่มีการควบคุมหรือปรามกันอย่างใด เชื่อขนมกินได้ว่าจีนจะเจอกับภาวะฟองสบู่แน่นอน

ที่ผ่านมาจีนใช้วิธีการปล่อยกู้จากภาครัฐผ่านธนาคารเหล่านี้ อันเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศครับ นอกจากนั้น เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐกดอัตราดอกเบี้ยไว้ต่ำมาก ทำให้กระแสทุนในสหรัฐช่วงนี้ก็หลั่งไหลมายังเอเชียมาก โดยเฉพาะที่จีน ซึ่งเงินลงทุนหลั่งไหลเข้ามายังตลาดหลักทรัพย์จีนและภาคอสังหาริมทรัพย์มหาศาล จนหลายฝ่ายวิตกว่าจีนอาจจะเจอกับภาวะฟองสบู่ขึ้น

ดังนั้น จีนก็ต้องเร่งออกมาควบคุมการปล่อยกู้ของธนาคารมากขึ้น โดยที่ต้องตัดลดความเสี่ยงจากหนี้เสียที่อาจจะเกิดขึ้นลง งานนี้รัฐบาลจีนเอาจริงหากธนาคารพาณิชย์แห่งใดละเมิดกฎระเบียบที่วางไว้ ก็จะเจอกับบทลงโทษรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการห้ามการลงทุนในตลาด ตลอดไปจนถึงห้ามการขยายการลงทุน และสาขาด้วย

นั่นคือสถานการณ์ที่จีนครับ สรุปแล้วก็คือในขณะนี้จีนต้องเร่งควบคุมความร้อนแรงของเศรษฐกิจตัวเอง ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ และเป็นผลกระทบจากที่ตลาดในฝั่งตะวันตกของโลกอ่อนแอ

แต่ที่สหรัฐ สถานการณ์ของภาคธนาคารกลับอยู่ตรงกันข้ามกันแบบสุดขั้วทีเดียวภาคธนาคารสหรัฐ หลังจากที่ถูกพิษซับไพรม์เล่นงานจนสะบักสะบอม จนถึงมาวันนี้เริ่มกลับมามีชีวิตกันบ้างแล้ว จากความช่วยเหลือของรัฐบาลอย่างสุดกำลัง และจากการลงทุนในตลาดหุ้นที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แต่ปรากฏว่าธนาคารเหล่านี้ยังคงดำเนินการในรูปแบบที่รัดกุมมากเกินไป จนไม่ยอมปล่อยกู้ เพราะยังเข็ดจากพิษวิกฤตการเงินเมื่อปีที่แล้วตอนนี้นอกเหนือจากปัญหาการว่างงานของสหรัฐที่ทะลุ 10.2% ไปแล้วที่จะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างชัดเจน สหรัฐก็ยังเจอกับปัญหาภาวะฝืดในภาคเครดิต ที่ธนาคารต่างๆ ไม่ยอมปล่อยกู้ ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ทั้งรายใหญ่ รายเล็ก รายย่อยครับ

บรรษัทรับประกันเงินฝากแห่งชาติ (เอฟดีไอซี) เปิดเผยตัวเลขว่าบัญชีการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์ทั่วประเทศในไตรมาส 3 อยู่ในทิศทางลดลงมากที่สุดในรอบอย่างน้อย 25 ปี ของประเทศทีเดียว พวกธุรกิจขนาดกลางและรายย่อย ซึ่งถือเป็นฐานทางเศรษฐกิจของสหรัฐได้รับผลกระทบมากที่สุด

ตอนนี้จีนปล่อยกู้มากเกินไปจนร้อนผ่าว ขาดความพอดี ส่วนสหรัฐก็ไม่กล้าปล่อยกู้จนเศรษฐกิจทำท่าฟื้นตัวได้ยาก แต่กระนั้นเศรษฐกิจของสองประเทศนี้ก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือตลาดหุ้นที่ร้อนแรงกันมาอย่างต่อเนื่องจนเสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่

เพราะนักลงทุนต่างเจ็บตัวกันหนักจากวิกฤตเมื่อปีที่แล้ว ต่างก็พากันเอาทุนคืน หากำไรเข้ากระเป๋าจากการลงทุนลวงและมีความเสี่ยงมากขึ้น ทั้งในตลาดหุ้น ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ภาวะเช่นนี้กำลังเกิดขึ้นเหมือนกันทั้งในสหรัฐ ยุโรป และในเอเชีย ในขณะที่การลงทุนจริงนั้นมาจากการลงทุนของรัฐบาลทั้งสิ้น ไม่ใช่การลงทุนจากภาคเอกชนแล้วจะบอกว่าเศรษฐกิจฟื้นจริงแล้วได้อย่างไร...?