posttoday

ยุโรปงัดมาตรการภาษี "เซฟการ์ด" ตอบโต้สหรัฐ

04 มีนาคม 2561

ยุโรปเตรียมใช้เซฟการ์ดกับสินค้าสหรัฐ 3 ประเภท ตอบโต้ทรัมป์ตั้งภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียม

ยุโรปเตรียมใช้เซฟการ์ดกับสินค้าสหรัฐ 3 ประเภท ตอบโต้ทรัมป์ตั้งภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียม

รอยเตอร์สรายงานอ้างแหล่งข่าวเกี่ยวข้องว่า สหภาพยุโรป (อียู) กำลังพิจารณาตั้งภาษีปกป้องการนำเข้าสินค้าเพิ่ม (เซฟการ์ด) กับสหรัฐที่ 25% กับสินค้าส่งออก 3 ประเภท ได้แก่ เหล็ก สินค้าอุตสาหกรรม และสินค้าเกษตร ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวม 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.1 แสนล้านบาท) เพื่อตอบโต้การตัดสินใจของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ในการใช้ภาษีเซฟการ์ดกับเหล็กและอะลูมิเนียมนำเข้าจากคู่ค้าทุกประเทศ

รอยเตอร์สรายงานว่า รายชื่อสินค้าที่อียูเตรียมใช้มาตรการเซฟการ์ดด้วยนั้นจะมีการเปิดเผยเพื่อขออนุมัติจากบรรดาประเทศอียูในสัปดาห์หน้า ด้านแหล่งข่าวอียูเปิดเผยว่า มาตรการดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายสร้างสมดุลทางการค้าระหว่างอียูและสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการภายในช่วง 3 เดือนนี้

ก่อนหน้านี้ อียูเปิดเผยว่าจะใช้มาตรการทางการค้าจัดการกับสินค้าแบรนด์สหรัฐที่มีนัยทางการเมือง เช่น มอเตอร์ไซค์ฮาร์เลย์ เดวิดสัน และวิสกี้เบอร์เบิ้น

“เราจะตั้งภาษีกับฮาร์เลย์ เดวิดสัน เบอร์เบิ้น และกางเกงยีนส์ลีวายส์ เราอยากมีความสัมพันธ์อันเหมาะสมกับสหรัฐ แต่เราก็ไม่อาจหลีกหนีปัญหาที่เกิดขึ้นได้” ฌอง โคลด ยุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) กล่าว

ทั้งนี้ อียูเปิดเผยว่าจะดำเนินมาตรการตอบโต้สหรัฐต่อกรณีดังกล่าวอย่างเด็ดขาด ด้วยการใช้มาตรการต่างๆ ตั้งแต่การร่วมมือกับประเทศอื่นๆ ยื่นเรื่องต่อองค์การการค้าโลก (ดับเบิ้ลยูทีโอ) รวมถึงมาตรการเซฟการ์ด ซึ่งอียูใช้เซฟการ์ดกับสหรัฐครั้งล่าสุดเมื่อปี 2002 เพื่อป้องกันสินค้าประเภทเหล็กและอะลูมิเนียมไหลทะลักเข้ายุโรป หลังสหรัฐตั้งภาษีชั่วคราวกับสินค้ากลุ่มดังกล่าวในขณะนั้น

รอยเตอร์สรายงานว่า ทางอียูมองว่า การใช้เซฟการ์ดของสหรัฐถือเป็นการปกป้องทางการค้า เนื่องจากสหรัฐระบุว่าการใช้เซฟการ์ดล่าสุดเป็นเหตุผลเรื่องความมั่นคง แต่ความจำเป็นในการใช้เหล็กและอะลูมิเนียมสำหรับด้านการทหารของสหรัฐคิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า 3% ของการผลิตในสหรัฐทั้งหมด

นอกจากนี้ แหล่งข่าวอียูเสริมว่า สหรัฐไม่สามารถแสดงหลักฐานว่ามีการนำเข้าเหล็กเพิ่มเมื่อปี 2017 หมายความว่าสหรัฐไม่ควรตั้งเซฟการ์ดกับสินค้ากลุ่มดังกล่าว โดยเมื่อปีที่ผ่านมาอียูส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมไปสหรัฐมูลค่า 5,300 ล้านยูโร (ราว 2 แสนล้านบาท) และ 1,100 ล้านยูโร (ราว 4.2 หมื่นล้านบาท) 

ภาพ เอเอฟพี