posttoday

"ทรัมป์" ชูสหรัฐสวรรค์ภาษีต่ำ

10 สิงหาคม 2559

"ทรัมป์" เผยแผนปฏิรูปภาษี เล็งลดภาษีนิติบุคคล หวังดึงบริษัทสหรัฐต่างแดนกลับประเทศ

"ทรัมป์" เผยแผนปฏิรูปภาษี เล็งลดภาษีนิติบุคคล หวังดึงบริษัทสหรัฐต่างแดนกลับประเทศ

ไฟแนนเชียลไทมส์ รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน ให้คำมั่นว่าจะดำเนินการปฏิรูปภาษีครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด ด้วยการปรับลดอัตราภาษีลงทั้งหมด ที่รวมถึงภาษีนิติบุคคลเพื่อให้บริษัทของสหรัฐในต่างประเทศกลับมาทำธุรกิจภายในประเทศ

รายงานระบุว่า หากทรัมป์ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี จะไม่มีบริษัทสหรัฐที่ต้องจ่ายภาษีนิติบุคคลสูงกว่า 15% จากอัตราภาษีสูงสุดในปัจจุบันที่ 35% โดยการปรับลดภาษีดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อแข่งขันด้านภาษีกับประเทศอื่นๆ เช่น ไอร์แลนด์ที่มีภาษีต่ำเพียง 12.5% รวมถึงจะเรียกเก็บภาษีแค่ 10% ซึ่งเป็นอัตราที่เรียกเก็บเพียงครั้งเดียว จากนิติบุคคลสหรัฐในต่างประเทศ เพื่อดึงดูดให้บริษัทดังกล่าวหันกลับมาทำธุรกิจในสหรัฐ

“เราพร้อมแสดงให้โลกเห็นว่าสหรัฐกลับมาแล้วอย่างยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งกว่าเดิม” ทรัมป์กล่าวเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจที่องค์กรนอกภาครัฐ ดีทรอยต์ อีโคโนมิกคลับออฟเมื่อวันที่ 9 ส.ค. ซึ่งโดยปกติแล้วทรัมป์แทบไม่ได้เปิดนโยบายเศรษฐกิจในการปราศรัยเลย 

ขณะเดียวกัน ทรัมป์ได้โจมตีนโยบายเศรษฐกิจของ ฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรค เดโมแครต ที่ส่วนใหญ่เป็นการต่อยอดจากนโยบายเศรษฐกิจปัจจุบัน ว่าจะส่งผลให้อัตราภาษีสูงขึ้นและทำให้ระเบียบบังคับต่างๆ มีความตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม

“หากคุณเป็นมหาอำนาจต่างชาติที่ต้องการทำให้สหรัฐอ่อนแอ คุณไม่มีทางทำได้ดีกว่านโยบายเศรษฐกิจของฮิลลารี คลินตัน หรอก นโยบายทุกอย่างของเธอเอนเอียงไปฝั่งต่างชาติทั้งนั้น”ทรัมป์ กล่าว

นอกจากนี้ แผนปฏิรูปภาษีของทรัมป์ยังครอบคลุมถึงกลุ่มชนชั้นกลางเช่นกัน โดยจะปรับลดช่วงเงินได้จากระดับ 7 ขั้น เหลือ 3 ขั้น และชาวอเมริกันสามารถนำค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรมาหักภาษีได้ทั้งหมด อีกทั้งทรัมป์ยังวางแผนยกเลิกภาษีมรดก รวมถึงใช้นโยบายอื่นๆ ที่จะเป็นประโยชน์กับชนชั้นกลาง 

อย่างไรก็ดี ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า อัตราการปรับลดภาษีของทรัมป์สูงกว่าตัวเลขที่เคยเปิดเผยเมื่อปีที่แล้ว ตอนรณรงค์หาเสียงชิงตำแหน่งตัวแทนพรรค ซึ่งในขณะนั้นอยู่ที่ระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับผู้สมัครชิงตัวแทนพรรครายอื่นๆ โดยอัตราภาษีทั้ง 3 ขั้นของทรัมป์อยู่ที่ 12% 25% และ 33% สูงกว่าตัวเลขก่อนหน้านี้ที่ 10% 20% และ 25% ขณะที่อัตราภาษีสูงสุดที่เรียกเก็บจากพลเมืองอเมริกันอยู่ที่ 39.6%

นอกเหนือจากการปฏิรูปภาษี ทรัมป์ยังเปิดเผยว่า จะกลับไปเริ่มดำเนินโครงการท่อส่งน้ำมันดิบคีย์สโตน เอ็กซ์แอล รวมถึงการให้สหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ถอนตัวจากความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (ทีพีพี) และกลับไปเจรจาความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ

ด้าน ฮิลลารี มองว่า นโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ เป็นเพียงการอาศัยผลที่ได้จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งไหลจากผู้มีรายได้มากไปสู่ผู้มีรายได้น้อยเท่านั้น และไม่ช่วยกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ รวมถึงช่วยเหลือชาวสหรัฐส่วนใหญ่ แต่กลับเป็นผลดีต่อกลุ่มผู้มีฐานะร่ำรวยมากกว่า