ฟ้าจรดทรายบนดินแดนในฝัน
จั่วหัวชื่อเรื่องอาจจะไม่ไกลเกินจริงสำหรับคนที่รักการเดินทาง เพราะโลกสร้างมาให้มีความแตกต่าง
โดย...กันย์ ภาพ : พัชรินทร์ ลิขิตโต
จั่วหัวชื่อเรื่องอาจจะไม่ไกลเกินจริงสำหรับคนที่รักการเดินทาง เพราะโลกสร้างมาให้มีความแตกต่าง เพื่อให้เราได้ออกเดินทางไปพบเห็นสิ่งที่แตกต่างไปจากชีวิตเดิมๆ
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบอารยธรรม ชอบธรรมชาติ ผสมความใหม่ สด ดิบ ประเทศ "โมร็อกโก" ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
โมร็อกโกเป็นดินแดนแอฟริกาเหนือ อาณาจักรแขกมัวร์อันไกลโพ้น ที่คุณจะได้สูดกลิ่นอายของมหาสมุทรแอตแลนติก ผสานกับกลิ่นอายของทะเลทรายที่นวลเนียนที่สวยที่สุดของซาฮารา
สุเหร่ากษัตริย์ฮัสซันที่ 2
โมร็อกโกเป็นดินแดนอาหรับ หากอุณหภูมิร้อนระอุจะทะลุถึง 45 องศาเซลเซียส แต่ถ้าหนาวจะมีหิมะตกในบางเมืองอุณหภูมิเหลือ 7 องศาเซลเซียส แต่สำหรับการเดินทางครั้งนี้เราเดินทางไปเที่ยวในช่วงปลายเดือน ก.ค. ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เดินทางไปเที่ยวกันเองโดยไม่ซื้อทัวร์จากประเทศไทย แต่ไปซื้อทัวร์ท้องถิ่นที่โมร็อกโกโดยใช้บริการทัวร์ของบริษัทเล็กๆ ชื่อ OVER MOROCCO TOUR ซึ่งมาพร้อมรถออฟโรดและไกด์ท้องถิ่นในราคาที่ไม่แพงนัก
เราลงเครื่องที่ คาซาบลังกา ตอนเช้า โดยเริ่มต้นด้วยการแวะชมสุเหร่าของกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 สุเหร่าที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 3 ของโลก ตั้งอยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก สร้างขึ้นในวาระครบ 60 ชันษาของกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 ในรูปแบบสถาปัตยกรรมโมร็อกโก คือตัวสุเหร่าปูด้วยหินอ่อนสีไข่ไก่ มีการสลักลวดลายอย่างวิจิตรและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ส่วนตัวหลังคาสร้างด้วยกระเบื้องสีเขียว และภายในสุเหร่าบรรจุคนได้มากกว่า 1 แสนคน
จากนั้นผ่าน เมืองราบัต เมืองหลวงของประเทศโมร็อกโก เพื่อแวะกินข้าวกลางวันในตลาดริมทาง เป็นเมนูเนื้อและไก่ย่างแบบคนท้องถิ่น กินกับแผ่นแป้งหนาๆ อบ โรยเกลือ พริกไทย และเครื่องเทศพื้นเมือง
ระหว่างทางจะเจอโอเอซิสเป็นระยะ
หลังจากนั้นเรามุ่งหน้าสู่ เมืองเชฟชาอูน นครสีฟ้า เมืองเล็กแต่น่ารัก อากาศดีเย็นสบาย ทั้งเมืองทาด้วยสีฟ้าและขาว เป็นเมืองเก่าแก่กว่า 500 ปี
เชฟชาอูน ไม่ได้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่หรูหรา แต่เป็นเมืองเล็กที่ดูอบอุ่นเป็นกันเอง ถนนเป็นซอยแคบไม่ให้รถใหญ่เข้า เพราะเป็นทางลงเนินเขา ในอดีตชาวยิวจากสเปนอพยพมาอยู่และทาบ้านเป็นสีฟ้าขาว จากนั้นเป็นต้นมาทั้งเมืองก็ยังทาสีฟ้าขาวทุกตรอกซอกซอย และเชื่อกันว่าสีฟ้าเป็นสีที่ป้องกันยุงได้ดีด้วย
เราค้างที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งถือเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องมาปักหมุด และที่สำคัญคือเป็นเมืองที่ปลอดภัย ขนาดร้านรวงปิดแล้วก็ไม่เก็บข้าวของเข้าร้าน ใช้เพียงผ้าคลุมไว้ของก็ไม่หาย
เชฟชาอูน นครสีฟ้า
วันต่อมามุ่งหน้าไปทะเลทรายซาฮาราโดยผ่าน เมืองเออร์ฟูน เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งปลูก ผลิต และส่งออกอินทผลัมคุณภาพดีไปทั่วประเทศและต่างประเทศ ชิมแล้วรสดีสมคำร่ำลือ มีความหนึบเหนียว และไม่แฉะเยิ้มเหมือนที่เคยกิน
เรานอนที่ซาฮารา 2 คืน โดยนอนที่โรงแรม 1 คืน และนอนในแคมป์กลางทะเลทราย 1 คืน โดยทิ้งกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไว้ที่โรงแรม อาบน้ำจากโรงแรม นำแค่ชุดนอนกับของใช้จำเป็นไป พอแดดร่มทางบริษัททัวร์ได้พาเราขี่อูฐจากโรงแรมไปทะเลทรายประมาณ 45-50 นาที เพื่อไปชมพระอาทิตย์ตก
บริเวณแคมป์กลางทะเลทรายมีห้องน้ำ มีที่นอนแคมป์ละ 2 คน มีพ่อครัว (คนดูแลอูฐ) ทำอาหารแบบเบอร์เบอร์ให้รับประทาน เขาทำอาหารง่ายๆ 2-3 อย่าง พร้อมชงชาสะระแหน่ให้ดื่ม หลังจากนั้นก็เดินไปดูพระอาทิตย์ตกที่สันทราย ซึ่งแม้จะเป็นหน้าร้อนแต่อากาศยามเย็นค่ำที่ทะเลทรายก็ไม่ร้อน พอมีลมเอื่อยๆ ให้ชื่นใจ และแม้จะเกือบ 2 ทุ่มแล้ว แต่พระอาทิตย์ก็ยังส่องแสงอยู่เลย
ถนนคดเคี้ยวท่ามกลางธรรมชาติ
ทว่า เมื่ออิ่มเอมกับมื้อเย็นเสร็จ เราทุกคนก็เตรียมนอนดูดาวซึ่งท้องฟ้าเหนือซาฮาราโล่งกว้างทำให้เราเห็นดาวอย่างชัดเจน นับเป็นช่วงเวลาแห่งความโรแมนติกหากคุณไปกับคู่รักที่จะได้จับมือนั่งดูดาวด้วยกัน
วันถัดมาก๊วนเราได้ออกเดินทางต่อไปยัง เมืองมาราเกซ โดยผ่านเมืองโบราณที่มีความเป็นมาอย่างยาวนานชื่อ เมืองไอท์ เบน ฮาดดู เมืองนี้เคยเป็นจุดพักกองคาราวานจากซาฮาราที่จะเดินทางไปยังเมืองมาราเกซ โดยมีจุดโดดเด่นคืออาคารต่างๆ ที่ถูกสร้างด้วยดินทราย ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมทางใต้ของโมร็อกโก
ภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาทำให้เมืองโบราณแห่งนี้มีความสวยงามแปลกตาจนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกของยูเนสโกในปี 1987 และยังเป็นโลเกชั่นสำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์มาแล้วหลายเรื่อง เช่น ลอเรนซ์แห่งอาราเบีย (Lawrence of Arabia) และนักรบผู้กล้าผ่าแผ่นดินทรราช (Gladiator) ซึ่งยังมีโรงถ่ายเก่าที่เก็บอุปกรณ์เอาไว้ให้เยี่ยมชมได้
นกนางนวลที่เมืองเอสซาเวลา
ส่วนเมืองมาราเกซนั้นเป็นเมืองสีชมพู อาคารบ้านเรือนเป็นโทนสีชมพูไปทั้งเมือง และเป็นเมืองเศรษฐกิจใหม่ที่มีดีไซเนอร์ดังๆ มาอยู่เพื่อสร้างสรรค์ผลงาน ทำให้สินค้าที่นี่สวยและมีราคาแพง ส่วนสถานที่ที่ต้องแวะต้องไม่พลาด คือบ้านและสวนของดีไซเนอร์ชื่อดัง อีฟ แซงต์ โลรองต์ ที่กระดูกของเขาได้ฝังไว้ที่สวนแห่งนี้ด้วย
นอกจากนี้ ยังต้องไปช็อปปิ้งที่ตลาดกลางแจ้ง จามา เอลฟานา เป็นตลาดขนาดใหญ่บนลานโล่งกว้าง ขายอาหาร ผลไม้ ถั่ว และด้านหลังเป็นบาร์ซาขนาดใหญ่ประหนึ่งจตุจักรบ้านเรา ขายงานพื้นเมืองและงานแฮนด์เมดมากกว่าสินค้าจากโรงงานอย่างบ้านเรา
และอีกหนึ่งสถานที่สำคัญอย่างพระราชวังบาเฮีย ของท่านมหาอำมาตย์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนยุวกษัตริย์ในอดีต สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ตกแต่งโดยการแกะสลักปูนปั้น มีการวาดลายบนไม้ และประดับประดาด้วยโมเสก ซึ่งถึงแม้ว่าวังนี้จะไม่ใหญ่มากมาย แต่ความสวยงามนั้นสุดอลังการ
แพะภูเขาบนต้นอาร์แกนออยล์
จนกระทั่งเส้นทางได้ไปสิ้นสุดที่เมืองริมทะเล เมืองเอสซาเวลา อันแสนคลาสสิก อากาศในเมืองนี้มีลมเย็นจนขนลุกสมกับเป็นเมืองแห่งลม (Windy City) จนทำให้เกสต์เฮาส์ริมทะเลไม่มีทั้งแอร์และพัดลม เพราะว่ามีลมพัดอื้ออึงแถมยังต้องห่มผ้านอน
การเดินทางของเราผ่านหลายเมือง ซึ่งระหว่างที่รถเคลื่อนผ่าน หากโชคดีจะเจอกับไฮไลต์สำคัญที่ไม่ใช่ทุกคนจะเจอ นั่นคือแพะภูเขาที่กำลังปีนต้นอาร์แกนออยล์ ที่ไม่ได้พบบ่อยนัก และอดไม่ได้ที่ต้องขอจอดรถแล้วลงไปเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก
โดยสรุปแล้วทริปนี้เราเดินทางทั้งหมด 7 เมือง เจออากาศทั้งร้อนมาก ร้อนสบาย เย็น หนาว และฝน ครบทุกอารมณ์ในประเทศเดียว รวมถึงสถาปัตยกรรมที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ ก็ยิ่งทำให้หลงใหลและหลงรักโมร็อกโกเข้าอย่างจัง
สวนในบ้านของดีไซเนอร์ดัง อีฟ แซงต์ โลรองต์
รถม้าชมเมืองมาราเกซ
จานกระเบื้องประดับบ้าน เป็นของฝากขึ้นชื่อที่ตลาดจามา เอลฟานา
ป้อมทาเริท แห่งตระกูลกลาวี
ตรอกซอกซอยในนครสีฟ้า
ถนนตัดผ่านภูเขาแทนเจีย
ร้านขายโคมไฟที่ตลาดจามา เอลฟานา
จุดชมวิวเมืองเชฟชาอูน
พระราชวังบาเฮีย
ชายทะเลเมืองเอสซาเวลา