posttoday

ชิโกคุ ครั้งแรก (10)

24 มีนาคม 2562

มาถึงเกาะโชโดชิมะแล้วไม่ได้มาแลนด์มาร์คของที่นี่อาจถือ

มาถึงเกาะโชโดชิมะแล้วไม่ได้มาแลนด์มาร์คของที่นี่อาจถือได้ว่ามาเสียเที่ยวเปล่า จากหุบเขาคังคะเค ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ตรงมายัง “Olive Park” สวนมะกอกขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้ชายฝั่ง สวนมะกอกแห่งนี้ไม่ได้เป็นแค่พื้นที่เพาะปลูกต้นมะกอกหลากหลายชนิดเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนสวนสาธารณะ สถานที่ท่องเที่ยว และแหล่งเรียนรู้ที่สามารถสัมผัสและเข้าใจที่มาที่ไปของสมญานาม “เกาะแห่งมะกอก” ได้อย่างลึกซึ้ง

ริมถนนตลอดทางที่นำมายังเนินเขาเล็กๆ มีต้นมะกอกปลูกเรียงรายเป็นทางสวยงาม สวนมะกอกแห่งนี้มีมะกอกกว่า 2,000 ต้น และสมุนไพรกว่า 130 ชนิด เบื้องหน้าเป็นวิวทะเลในเซโตะ โอบล้อมด้วยภูเขาน้อยใหญ่ที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ รถบัสมาจอดที่ด้านหน้าของอาคารหอรำลึก มีเสากรีกขนาดใหญ่ ตกแต่งสวยงามด้วยสัญลักษณ์บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับต้นมะกอก ก่อนที่จะเดินสำรวจพื้นที่รอบๆ เราไปสำรวจห้องอาหารกันก่อนดีกว่า แหม! ก็นี่เที่ยงแล้วกระเพาะเริ่มครวญครางหนัก เดินจากอาคารรำลึกมานิดเดียวจะเจอสวนขนาดย่อม ตกแต่งด้วยเสาแบบกรีกเหมาะอย่างมากที่จะเป็นจุดชมวิวถ่ายรูปริมทะเล ให้อารมณ์เหมือนอยู่ประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน

ชิโกคุ ครั้งแรก (10)

อาหารกลางวันมื้อนี้เป็นเซตเมนูวัตถุดิบหลักทำมาจากมะกอก มีข้าวหน้าหมูราดซอส ที่ไม่ใช่เนื้อหมูอู๊ดๆ ทั่วไปแต่เป็นหมูที่กินมะกอกเป็นส่วนหนึ่งของอาหาร และโซเมนเย็นที่ทำมาจากมะกอกเช่นกัน หมูเนื้อนุ่มเคล้ากับซอสรสอร่อยได้อย่างลงตัว เปลี่ยนอรรถรสด้วยโซเมนเย็นๆ จุ่มกับซอส ซดมิโซะร้อนๆ อิ่มอร่อยพุงกางกันไปเลย หลังอาหาร มีเวลาให้พอเดินเล่น ฉันเลือกเดินผ่านอาคารรำลึกไปสำรวจที่อื่นก่อน เดินตามเนินขึ้นไปไม่ไกล มีเรือนกระจกเพาะต้นมะกอกและสมุนไพร ถัดมาเป็นโมเดลหนังสือสามมิติขนาดใหญ่ที่พูดถึงต้นมะกอกต้นแรกบนเกาะ ซึ่งหนังสือพิเศษตรงที่จะมีช่องประตูเล็กๆ สามารถโผล่ออกมาเป็นโลเกชั่นถ่ายรูปเก๋ๆ ได้ เดินมาอีกหน่อยเป็นโบสถ์ แต่ปิดพอดีเลยไม่ได้เข้าไป และยังมีร้านคาเฟ่เล็กๆ ซึ่งจำลองการตกแต่งเหมือนกับร้านขายของในเรื่องแม่มดน้อยกิกิ

ถ้าถามว่าชื่นชอบแอนิเมชั่นเรื่องไหนของสตูดิโอจิบลิ แม่มดน้อยกิกิจะเป็นเรื่องที่เอ่ยถึงเป็นเรื่องแรกๆ แอนิเมชั่นเรื่องนี้สร้างมาจากหนังสือชื่อดังถึงขนาดได้ตีพิมพ์หลายภาษา เล่าถึงเรื่องราวของแม่มดน้อย ที่ฝึกฝนเวทมนตร์และตามหาเส้นทางของตัวเอง นอกจากตัวละคร เรื่องราวที่น่ารักสนุกสนาน ยังแฝงข้อคิดและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่าน แม่มดน้อยกิกิจึงถูกสร้างเป็นทั้งแอนิเมชั่นและภาพยนตร์ นับว่าเป็นเรื่องที่โด่งดังเป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งก็ว่าได้ ซึ่งที่ Olive Park จะมีอาคารกังหันลมหน้าตาคล้ายกับบ้านของแม่มดน้อยกิกิเลย กังหันลมนี้เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงมิตรภาพระหว่างเกาะโชโดชิมะและซิสเตอร์ไอส์แลนด์บนเกาะมิโลสในกรีซ และเป็นโลเกชั่นถ่ายรูปชื่อดังของที่นี่ด้วย โดยมีไม้กวาดเป็นพร็อบแล้วกระโดดทำท่าเหมือนขี่ไม้กวาด ภาพที่ได้ก็จะเป็นเหมือนเราเป็นแม่มดน้อยกิกิที่กำลังขี่ไม้กวาดโดยมีเบื้องหลังเป็นอาคารกังหันลมสีขาวตั้งอยู่บนเนินเขาหญ้าสีเขียวตัดกับสีฟ้าของน้ำทะเลและท้องฟ้า หรือจะครีเอทถ่ายท่าแปลกๆ เป็น Group Shot กับเพื่อนๆก็สวยดี

ชิโกคุ ครั้งแรก (10)

สุดท้ายก็มาเดินสำรวจที่อาคารรำลึกที่จัดแสดงประวัติและข้อมูลการปลูกมะกอกบนเกาะ ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงการผลิต ด้านหน้าอาคารมีร้านขายซอฟต์ครีมรสมะกอก เนื่องจากคนต่อคิวเยอะพอสมควรและข้าวเที่ยงที่ยัดเข้าไปก็ยังแน่นเต็มทุกพื้นที่ของกระเพาะ เลยไม่สามารถอธิบายให้ทุกคนฟังได้ว่ารสชาติซอฟต์ครีมรสมะกอกนั้นรสชาติเป็นเช่นไร บริเวณโถงอาคารมีรูปปั้นเทพีอธีน่า (เทพีแห่งปัญญาและสงคราม) เพื่อระลึกถึงการกำเนิดต้นมะกอกตามตำนานเล่าขานของชาวกรีก ภายในยังมีร้านขายของที่ระลึก มีผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากมะกอกเช่นเดียวกับที่หุบเขาคังคะเค แต่ที่นี่จะเน้นเครื่องสำอาง งานคราฟท์ แพ็กเกจจิ้งสวยๆ

ภายใน Olive Park ยังมีโซนเครื่องเล่นสำหรับพาเด็กๆ มาพักผ่อนเล่นสนุกได้ นอกจากโลเกชั่นที่เดินเล่น ถ่ายรูป ยังมีกิจกรรมทำงานคราฟท์จากมะกอกและสมุนไพรอีกด้วย Olive Park จึงเป็นเหมือนสวนสาธารณะ และสถานที่ท่องเที่ยวไปในตัว สามารถใช้เวลาได้ทั้งวัน ดึกก็พักที่นี่ได้เลย เพราะมีโรงแรมด้วย แถมออกแบบสวยงามสไตล์เกาะซานโตรินี ถ้าจะให้แนะนำควรมาเที่ยวช่วงบ่ายๆ เย็นๆ อากาศน่าจะร่มรื่นกว่า เพราะที่ไปมาเป็นตอนเที่ยงๆ พอดี อากาศเลยร้อนไปเสียหน่อย ถ้าแดดอ่อนคงเดินเที่ยวได้ทั่ว

ชิโกคุ ครั้งแรก (10)

หากใครปรารถนาให้มีรักนิรันดร์ จับมือคู่ของตัวเองแล้วเดินข้ามไปยัง Angle Road เส้นทางเดินแห่งรักแม้แต่ทะเลยังต้องหลีกทาง โอ้โห...ก็พูดเกินไป Angle Road เป็นสถานที่เที่ยวบนเกาะที่ได้รับความนิยมเช่นกัน เมื่อน้ำลงจะปรากฏเป็นเส้นทางเชื่อมไปยังเกาะโคโย เกิดขึ้นตามสภาพอากาศและน้ำขึ้นน้ำลงคล้ายๆ กับทะเลแหวกบ้านเรา แต่เรื่องราวของที่นี่บอกไว้ว่า หากคู่ใดที่จับมือแล้วเดินข้ามไปยังอีกฝั่งจะทำให้คู่นั้นมีรักที่ยืนยาว และอย่าลืมมาสั่นกระดิ่งบนหอดูดาวแห่งสัญญา ซึ่งเป็นจุดชมวิวเห็นทะเลแหวกอย่างเด่นชัดสวยงามด้วย

ชิโกคุ ครั้งแรก (10)

บนเกาะโชโดชิมะยังมีที่เที่ยวอื่นๆ ซึ่งกระจายอยู่ทั่วเกาะ โดยส่วนตัวค่อนข้างชอบที่นี่นะ เพราะสงบและบรรยากาศดีไม่ร้อนเกินไป เป็นเกาะที่สามารถเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับได้ แต่ถ้าจะใช้เวลาสบายๆ ไม่เร่งรีบ แนะนำให้พักบนเกาะสักหนึ่งคืน แต่เนื่องจากวันรุ่งขึ้นเราต้องสำรวจที่อื่นๆ ในจังหวัดคะกะวะ จึงต้องนั่งเรือกลับมาพักที่ตัวจังหวัด เฟอร์รี่ขากลับเป็นคนละแบบกลับตอนขามา บอกเลยว่าไฮโซสุดๆ ตอนขามานี่ดูดรอปไปเลย ขากลับบรรยากาศเหมือนนั่งในรถไฟชินคันเซนแต่สะดวกสบายกว่า เบาะนิ่มแอร์เย็นหลับสบายไฟสีส้ม มีโซนร้านขายอาหารจุบจิบ และโซนยืดแข้งยืดขาเหมือนกัน
ด้านบนของเรือมีที่นั่งไม่เยอะนักถ้าเทียบกับเรือตอนขามา เหมือนเน้นให้คนอยู่ในเรือมากกว่า แสงอาทิตย์ยามเย็นสะท้อนผืนน้ำ เกลียวคลื่นท้ายเรือไล่เป็นทางยาวสีขาว การได้นั่งมองวิวข้างทางที่ค่อยๆ เลื่อนไป ปล่อยให้ตัวและใจปะทะกับลมทะเล ก็ช่วยเยียวยาให้หายเหนื่อยจากการเดินทางและทำให้สงบสบายใจดีเหมือนกัน