ขับรถเที่ยวฮอกไกโด 7
สักพักใหญ่ๆ สมาชิกเกือบทุกคันก็มากันครบ เหลือเพียงคันเดียวที่หลงทางไปไกล
สักพักใหญ่ๆ สมาชิกเกือบทุกคันก็มากันครบ เหลือเพียงคันเดียวที่หลงทางไปไกล ทีมงานจึงตัดสินใจเริ่มทัวร์ ทางฟาร์มจัดรถแทรกเตอร์ที่ต่อรถพ่วงมีที่นั่งแบบง่ายๆ 4-5 แถว นั่งกันเต็มมีที่ยืนบ้างนิดหน่อย คุณบิโตะเป็นผู้ขับรถพาเราเข้าไปในฟาร์มด้วยตัวเอง มีการจอดบรรยายเป็นระยะๆ ได้ใจความสำคัญว่า ที่นี่ปลูกมันเทศเป็นหลัก ผลผลิตทั้งหมดส่งขายให้กับบริษัท Calbee ที่เรารู้จักกันดีจากผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบกุ้งและของกินเล่นที่ทำจากมันเทศ เช่น Jagarico และ Jagabee พื้นที่ฟาร์มของชาวไร่ในเขตโทกาจิมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 42 เฮกตาร์/ครอบครัว
แต่ฟาร์มของคุณบิโตะมีพื้นที่กว่า 150 เฮกตาร์ หรือราวๆ 937 ไร่ แต่ใช้คนดูแลและทำไร่เพียงแค่ 5 คนเท่านั้น มีจ้างคนงานเพิ่มก็เฉพาะช่วงเก็บเกี่ยวในเดือน ก.ย.และ ต.ค. อีกประมาณ 20 คน เพื่อเก็บผลผลิตให้เสร็จสิ้นก่อนหนาว ฟังแล้วทึ่งตรงที่ใช้คนแค่ 5 คนเท่านั้น มิน่าเมื่อครู่ก่อนจะออกรถ มองเข้าไปในโรงเก็บ เห็นรถไถ รถเก็บเกี่ยว และรถอีกหลายประเภทที่ไม่รู้จัก ล้วนแล้วแต่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร มีเครื่องทุ่นแรงแบบนี้ประหยัดแรงงานไปได้มากโขทีเดียว
คุณบิโตะขับรถตัดเข้าไปในไร่แล้วจอด จากนั้นก็ลงจากรถแล้วเดินเข้าไปหยุดยืนในแปลงเกษตรพร้อมอธิบายว่า นี่คือแปลงมันเทศที่เราปลูก ว่าแล้วก็ขุดเอาต้นมันเทศขึ้นมา ในหนึ่งปีเราจะปลูกมันเทศได้เพียงฤดูกาลเดียวคือช่วงหลังจากหิมะละลายดังนั้น เราจึงผิดพลาดไม่ได้มันเทศทุกต้นมีชีวิต เราดูแลประดุจสมาชิกในครอบครัว แต่เราก็ไม่ประคบประหงมจนเกินไป เพราะพืชในฮอกไกโดต้องรู้จักดิ้นรนต่อสู้ เราจึงเตรียมสภาพแวดล้อมทุกอย่างให้เหมาะสมกับการสู้ชีวิต ดินที่อุดมสมบูรณ์ น้ำที่พอเพียง แสงแดดที่ธรรมชาติประทานให้
ทั้งหมดนี้ทำให้มันเทศของเราสุขภาพดี จึงให้ผลผลิตที่ดี แต่ก็มีบ้างที่หนอนอาจจะเจาะเข้าไปในหัวมันเทศ เพราะเราใช้สารเคมีน้อยมาก ดังนั้นอย่าแปลกใจ ถ้าเปิดกล่อง Potato Chip แล้วจะเจอแผ่นมันบางชิ้นที่เป็นรู ถึงตรงนี้ทุกคนบนรถฮากันตรึม คุณบิโตะกล่าวต่อ ขอให้รู้ว่าไม่ใช่คิวซีไม่ดี แต่มันคือร่องรอยของธรรมชาติ และเป็นข้อยืนยันว่าเป็นมันเทศแท้ ไม่ใช่แป้งมาอัดเป็นแผ่น อธิบายกันไปเรื่อยๆ จนจบเรื่องมันเทศก็ขึ้นรถขับพาเราข้ามฟากไปอีกแปลง แต่แปลงนี้เป็นแปลง Wheat หรือธัญพืช ลักษณะคล้ายต้นหญ้าและมีรวงเหมือนต้นข้าว เป็นพืชที่มีความอดทนสูง
ปกติจะปลูกช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยวหลังเก็บมันเทศเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ต้นเจริญเติบโตและแข็งแรงพอที่จะต่อสู้กับความหนาวเย็นและหิมะได้ เป็นความรู้ใหม่จากเดิมที่คิดว่าหน้าหนาวไม่มีการปลูกพืชไร่ชนิดไหน แต่ Wheat สามารถเอาตัวรอดได้ ถ้าเติบโตและแข็งแรงพอ เมื่อหมดหน้าหนาวเข้าใบไม้ผลิก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ และเป็นการไถเพื่อปรับปรุงคุณภาพของหน้าดิน เพื่อเตรียมปลูกมันเทศไปด้วยในตัว เมล็ด Wheat ที่ผ่านหน้าหนาวจะอุดมไปด้วยแร่ธาตุและพลังชีวิตมากกว่า
พอนำมาสีและบดเป็นแป้งทำอาหารก็จะมีรสชาติและความอร่อยมากขึ้น เพื่อเป็นการพิสูจน์สัญชาตญาณเอาตัวรอดของ Wheat คุณบิโตะให้สังเกตลงไปในแปลงที่หนาแน่นว่า ไม่มีต้นไหนใบทับซ้อนกันเลย ทุกต้นเหมือนจะคุยกันรู้เรื่องและแบ่งพื้นที่ในการเจริญเติบโตซึ่งกันและกัน ไม่มีการทะเลาะกันแบบต้นไหนแข็งแรงก็อยู่รอดต้นไหนอ่อนแอก็แพ้ไป ทุกต้นเอื้อเฟื้อแบ่งปันพื้นที่รับแสงอย่างเท่าเทียม จึงให้ผลผลิตเต็มที่ทุกต้น ซึ่งตรงนี้คุณบิโตะบอกว่ามันคือความเข้าใจพืช พืชก็มีวิถีของพืช เราแค่หาทางทำความเข้าใจและสร้างสิ่งแวดล้อมให้พืชสามารถเติบโตตามธรรมชาติได้อย่างดี แค่นี้ก็จะได้ผลผลิตที่ดีและเต็มเม็ดเต็มหน่วย
สรุปง่ายๆ คืออย่าไปฝืนธรรมชาติ ให้โอนอ่อนผ่อนตาม เมื่อพืชมีความสุขก็จะให้ผลผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วย เป็นแนวคิดที่ผิดแผกแตกต่างจากเกษตรกรส่วนใหญ่ของบ้านเราอย่างสิ้นเชิง เลยทำให้ผมนึกไปถึงคุณจอนนอนไร่ ที่ทำเกษตรด้วยความเข้าใจธรรมชาติของพืช ดิน น้ำ และศัตรูพืช จึงไม่ต้องใช้สารเคมี เป็นเกษตรออร์แกนิกที่เข้าใจวงจรชีวิต จึงทำให้ได้ผลผลิตที่มีขนาดใหญ่และอร่อยกว่าใครๆ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีที่สนับสนุนการปลูกพืชตามวิถีธรรมชาติแล้วให้ผลผลิตที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยได้เช่นกัน
ชมไร่กันพอสมควรแล้วคุณบิโตะก็พาเรากลับมาที่เดิม เพื่อทดลองชิมผลผลิตที่คุณแม่บ้านเตรียมไว้ มีซุปถั่วแดงที่หอมหวานอร่อย และมันหวานบดผสมกับแป้งที่ทำจาก Wheat ให้รสสัมผัสที่นุ่มหนึบและมีรสหวานอร่อยโดยไม่ต้องเติมน้ำตาล พวกเรากินกันหนุบหนับอย่างสนุกสนาน จากนั้นก็พาไปชมโรงเก็บ
พืชผลที่ใช้ความเย็นจากหิมะแทนการใช้เครื่องทำความเย็นเป็นการประหยัดพลังงานโดยใช้ธรรมชาติให้เกิดประโยชน์ ดูเสร็จก็ถึงช่วงอุดหนุนสินค้าที่มีทั้งเส้นโซบะที่ทำจาก Wheat แป้งแพนเค้ก และเสื้อยืด ผมซื้อแป้งแพนเค้กกลับบ้านมา 5 ห่อ ราคาเมื่อเทียบกับที่ซื้อตามซูเปอร์แล้วแพงกว่าเล็กน้อย แต่พอกลับบ้านแล้วเอาทำให้ลูกกิน ปรากฏว่าอร่อยและคุณภาพดีกว่ามาก
จบจากกิจกรรมในฟาร์มบิโตะ เราขับรถไปยังที่พักโรงแรม Tokachikawa Onsen Daiichi Hotel ที่อยู่ห่างไปไม่ไกล เป็นโรงแรมสไตล์เรียวกังที่มีชัยภูมิดี อยู่ริมแม่น้ำโทคาจิและมองเห็นสะพานขึงแลนด์มาร์คของเมืองได้ชัดเจน จุดเด่นที่สุดของที่พักแถบนี้คือน้ำแร่ที่เรียกว่า Moor ซึ่งมีเพียง 2 แห่งในโลก คือ ที่เยอรมนีกับที่นี่ น้ำแร่ Moor เกิดจากการผสมประสานของน้ำ และ Peat หรือพืชที่ทับถมเป็นเวลานาน ถ้าแข็งตัวก็กลายเป็นถ่านหินชนิดอ่อน ถ้าอยู่ในลุ่มน้ำก็กลายเป็นโคลน ถ้าทับถมอยู่ในชั้นดินและมีสายน้ำแร่ซึมผ่านก็จะกลายเป็นน้ำแร่คุณภาพสูง
เพราะได้ทั้งแร่ธาตุและอินทรียสาร ออกสีเหลืองอำพัน มีคุณสมบัติต่างๆ มากมายตั้งแต่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวพรรณ คลายกล้ามเนื้อ ลดความปวดเมื่อยและติดขัดตามข้อต่อ รักษาโรคผิวหนังเรื้อรัง ผิวหนังที่เกิดจากการถูกเผาไหม้ ไปจนถึงบรรเทาอาการของริดสีดวง และหากดื่มน้ำแร่ Moor ก็จะไปเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบย่อยอาหาร ปรับปรุงระบบทางเดินอาหารให้ทำงานดีขึ้น ลดอาการท้องผูก รักษาโรคเบาหวานและตับอักเสบ
นี่มันยิ่งกว่าน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์เสียอีก เลยลองค้นหาข้อมูลและพบว่า ความลับของน้ำแร่ Moor คือ กรดฮิวมิก (Himic Acid) ที่ไปช่วยเพิ่มอินทรียสารให้กับดิน มีผลทำให้พืชเจริญงอกงามได้ดีตามธรรมชาติ ดังนั้น จึงไม่เป็นอันตรายกับร่างกายของมนุษย์ แต่กลับช่วยกระตุ้นระบบต่างๆ ในร่างกายให้ทำงานดีขึ้นตามธรรมชาติเหมือนพืชนั่นเอง ทราบเช่นนี้แล้วแทบจะรอไปแช่น้ำแร่ไม่ไหว รีบเช็กอินนำสัมภาระขึ้นห้องพักโดยพลัน