posttoday

มเราะอู...ยิ่งดู ก็ยิ่งรัก

10 มีนาคม 2561

ทีมงานโลก 360 องศา เตรียมตัวออกเดินทาง

ทีมงานโลก 360 องศา เตรียมตัวออกเดินทางจากชิตตเว เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงเก่าของรัฐยะไข่ที่ได้รับคำเล่าลือว่าเป็นเมืองที่สวยงามและมีเสน่ห์ที่สุดของยะไข่ ชื่อเมืองสะกดเป็นภาษาอังกฤษว่า Mrauk U ซึ่งน่าจะออกเสียงว่า “มเราะอู” แต่หลังจากออกเสียงให้ชาวยะไข่ฟังก็ได้เห็นสีหน้าสงสัยและขมวดคิ้วไปตามๆ กัน เพราะเขาเรียกชื่อเมืองหลวงเก่าแห่งนี้ว่า “เมี่ยวอู” หรือ “เมียวอู”

การเดินทางจากชิตตเวไปมเราะอู มีให้เลือกทั้งทางรถและทางเรือ ถ้านั่งรถจะใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงครึ่งคือเร็วที่สุด แต่หากนั่งเรือก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเรือแบบไหน โดยเรือเร็วจะใช้เวลาราวสามชั่วโมง ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะเลือกนั่งเรือ เพราะว่าจะได้มีโอกาสเห็นทัศนียภาพสองฝั่งน้ำและวิถีชีวิตของผู้คนที่ยังคงผูกพันเกาะเกี่ยวอยู่กับธรรมชาติอย่างชัดเจน

เมื่อเดินทางถึงมเราะอู สถานที่แรกที่พวกเราได้รับการแนะนำว่าจะต้องไปคือการไปสักการะพระซานดามุนี (Sanda Muni) หนึ่งในพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของยะไข่ เราจึงมีโอกาสได้เห็นความงดงามของพระพุทธรูปโบราณอายุนับพันปี ซึ่งเล่ากันว่าเมื่อครั้งอังกฤษเข้ามาปกครองนั้น ได้พยายามรวบรวมทองเหลืองจากทุกแหล่ง เพื่อนำไปหลอมเป็นอาวุธ ชาวบ้านในสมัยนั้นเกรงว่าพระซานดามุนีจะถูกนำไปหลอมด้วย จึงเอาคอนกรีตมาโบกทับ เพื่ออำพรางไว้ ภายหลังผ่านพ้นช่วงอาณานิคม ผิวคอนกรีตที่หุ้มไว้ก็หลุดร่วงลงมา พระสงฆ์และชาวบ้านจึงช่วยกันลอกผิวคอนกรีตออกจนหมด  จึงปรากฏเป็นองค์พระสีทองเหลืองอร่ามอย่างที่เห็นในปัจจุบัน นอกจากนี้แล้วเรายังมีโอกาสได้เข้าชมโบราณวัตถุที่จัดเก็บไว้ภายในกุฏิเจ้าอาวาส ซึ่งจัดแสดงคล้ายพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กอีกด้วย

มเราะอู...ยิ่งดู ก็ยิ่งรัก

หลังเข้าที่พักพวกเราก็เตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งเพื่อภารกิจสำคัญ นั่นคือการไปชมแสงแรกของมเราะอู ซึ่งเป็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเพราะจะได้เห็นแสงทองจับขอบฟ้า ขณะที่เบื้องหน้าคือทุ่งเจดีย์โบราณที่เรียงราย ดูสงบและงดงามราวภาพวาด จากนั้นจึงต่อด้วยการเดินเล่นในตลาดชุมชนยามเช้าซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับจุดที่เราชมพระอาทิตย์ขึ้น ได้เห็นภาพวิถีชีวิตเรียบง่าย บรรยากาศแบบสบายๆ และสิ่งสำคัญคือ อัธยาศัยไมตรีของผู้คนที่นี่ ซึ่งทำให้พวกเราอุ่นใจและสบายใจในการเดินทางในเมืองนี้อย่างมาก

หลังจากนั้นเราจึงชวนกันเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ของเมืองมเราะอู โดยหากใครนึกสนุกก็สามารถเช่าจักรยานปั่นแวะไปเรื่อยๆ ได้เพราะรถยนต์มีจำนวนไม่มาก และการเดินทางไปยังสถานที่ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวแต่ละจุดก็ไม่ไกลเกินไป อีกทั้งยังได้แวะทักทายผู้คนซึ่งมีสีหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตรอย่างมากอีกด้วย

สถานที่แรกที่พวกเราชวนกันไปคือ “วัดโกตาวง์” (Ko Thaung) ซึ่งนับเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในสมัยที่อาณาจักรมเราะอูรุ่งเรือง ความหมายของชื่อวัดนั้นหมายถึง “วัดเก้าหมื่น” โดยได้ชื่อว่าเป็นวัดประจำรัชกาลของพระเจ้า Min Taik Kha ซึ่งครองราชย์เพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่เล่ากันว่าวัตถุประสงค์ของการสร้างวัดแห่งนี้ ก็เพื่อต้องการสร้างวัดให้มีขนาดใหญ่กว่าที่ พระเจ้า Mong Bar Gri พระบิดา ซึ่งเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของมเราะอู ได้เคยสร้างวัดไว้อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งมีความหมายของชื่อวัดว่า “วัดแปดหมื่น”

รอบองค์เจดีย์ใหญ่ของวัดโกตาวง์ จะมีลักษณะเป็นโถงทางเดินล้อมรอบทะลุถึงกันทั้งสี่ด้าน ด้านในประดิษฐานพระพุทธรูป และฝาผนังก็สลักพระพุทธรูปอีกเช่นกัน พวกเราลองพยายามเดินวนรอบเพื่อนับพระพุทธรูปและเจดีย์ทั้งหมด ก็ได้รับคำแนะนำว่าต้องนับรวมพระพุทธรูปองค์เล็กองค์น้อยที่อยู่ด้านใน และที่สลักไว้บนผนังด้วยจึงจะนับรวมได้เก้าหมื่นตามความหมายของชื่อวัด

มเราะอู...ยิ่งดู ก็ยิ่งรัก

ใกล้ๆ กับวัดโกตาวง์จะสังเกตเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาเล็กๆ เป็นที่ตั้งของวัดปีซิ เมื่อเดินทางถึงที่ตั้งเราจึงได้เห็นความพิเศษของที่นี่ เพราะนอกจากพระพุทธรูปองค์ใหญ่ซึ่งอยู่ด้านบนสุด ยังมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่กว่าตั้งอยู่อีก 4 ทิศ หันหน้าไปตามทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก อีกด้วย

จากนั้นจุดหมายถัดไปของเราจึงมุ่งหน้าไปที่“วัดชิตตาวง์”  (Shite Thaung) หรือวัดแปดหมื่น เพื่อให้หายข้องใจ และก็พบว่าลักษณะมีความคล้ายคลึงกันเพราะมีเจดีย์องค์เล็กๆ จำนวนมากเรียงราย แม้จะมีจำนวนน้อยกว่าแต่ก็มีขนาดใหญ่กว่า และที่น่าตื่นตาตื่นใจไปกว่านั้นคือภาพสลักนูนต่ำภายวัดชิตตาวง์ ที่บอกเล่าเรื่องราวของผู้คนในยุคสมัยโบราณไว้อย่างชัดเจน ทั้งเรื่องของวิถีชีวิต ทรัพยากร และความเชื่อ เราก็อดไม่ได้ที่จะลองนับจำนวนเจดีย์และพระพุทธรูปภายในวัดชิตตาวง์อีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้เพราะจำนวนแปดหมื่นนั้นไม่ใช่น้อยๆ เลย แต่ที่ทำให้พวกเรารู้สึกได้ก็คือผู้ที่สามารถรวบรวมทรัพยากรและผู้คนให้สร้างวัดใหญ่ขนาดนี้ได้นั้น ต้องมีอำนาจและบารมีมหาศาลเลยทีเดียว

ตกบ่ายพวกเราก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ว่ากันว่าไม่ควรพลาดเช่นกัน  เพราะเราจะได้เห็นแฟชั่นราชสำนักของอาณาจักรมเราะอูสมัยโบราณ นั่นคือ วัด โทก กั่น เต่ง โดยภายในจะมีรูปสลักเรียงรายโดยรอบ และถ้าสังเกตจะเห็นลักษณะทรงผมที่แตกต่างกันไป นับแล้วจะได้เห็นทรงผมถึง 64 แบบ ดังนั้นหากมาที่นี่นอกจากจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรม ยังจะได้เห็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และแฟชั่นของยะไข่เมื่อหลายร้อยปีอีกด้วย

พวกเราชวนกันทบทวนเรื่องราวในมเราะอูระหว่างที่เฝ้ารอแสงสุดท้ายของวันที่กำลังจะลับลาอยู่เบื้องหน้า ตั้งแต่การตื่นเช้าเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น จากนั้นจึงได้เที่ยวในตลาด ชมวิถีชีวิตเรียบง่าย ทักทายผู้คน แล้วต่อด้วยการชมโบราณสถาน เรียนรู้เรื่องราวในอดีต และปิดท้ายด้วยการชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง นับเป็นเรื่องราวที่ได้บทสรุปว่าไม่น่าแปลกใจที่ใครมาเมียวอูแล้วยิ่งอยู่จะยิ่งรักจริงๆ

มเราะอู...ยิ่งดู ก็ยิ่งรัก

ภาพงดงามของ “มเราะอู...ยิ่งดู ก็ยิ่งรัก” ที่จะทำให้ใครหลายคนอยากจัดกระเป๋าตามพวกเราไปเที่ยว ติดตามชมได้ในรายการโลก 360 องศา ได้ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32  เช้าวันอาทิตย์ เวลา 08.00-08.30 น. ส่วนแฟนรายการโลก 360 องศา สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook ของรายการโลก 360 องศา และชมรายการย้อนหลังได้ที่ YouTube Chanel