posttoday

เลือกตั้ง66:กกต.ไม่รีบสอบปมพิธาถือหุ้นสื่อต้องให้ความเป็นธรรม

11 พฤษภาคม 2566

แสวง บุญมี เลขาธิการกกต.เผยไม่เร่งวินิจฉัยคุณสมบัติ “พิธา” ถือหุ้นสื่อ ส่อไม่ทันก่อนเลือกตั้ง อ้างเหลือเวลาน้อย ต้องให้ความเป็นธรรม

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายแสวง บุญมี เลขาธิการกกต. กล่าวถึงกรณีมีการร้องเรียนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถือหุ้นสื่อ บมจ.ไอทีวี ว่า ตนยังไม่เห็นคำร้อง ซึ่งเรื่องนี้เป็นการร้องเกี่ยวกับคุณสมบัติ มีขั้นตอนตามกฎหมาย มีอยู่ 3 ช่วง คือ ช่วงก่อนวันเลือกตั้ง ช่วงหลังวันเลือกตั้ง และช่วงประกาศผลการเลือกตั้ง โดยก่อนการเลือกตั้ง ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยกรเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 61 ถ้ากกต.ตรวจสอบแล้ว เห็นว่าไม่มีคุณสมบัติ ให้ยื่นต่อศาลฎีกาพิจารณา ซึ่งขณะนี้เหลือเวลาเพียง 2 วัน แต่หากดำเนินการไม่ทัน หลังการเลือกตั้ง ก่อนการประกาศผล ถ้าเห็นว่าผู้นั้นมีลักษณะต้องห้ามในการลงรับสมัครรับเลือกตั้ง  กกต.ก็จะมีมติให้ดำเนินคดีอาญามาตรา 151 ฐานรู้อยู่แล้วว่า มีมีคุณสมบัติในการสมัคร แต่ก็ยังลงสมัคร ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว จะไม่เป็นเหตุให้นำไปสู่การไม่ประกาศผลการเลือกตั้ง ดังนั้นก็ต้องประกาศผลให้เป็น ส.ส.ไปก่อน จากนั้นจะเป็นการดำเนินการหลังการประกาศผล มีรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ซึ่งได้กำหนดช่องทางในการดำเนินการไว้ ทั้งให้ส.ส.หรือส.ว. เข้าชื่อ ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือกกต.เป็นผู้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ 

ส่วนที่กกต.ไม่ยื่นให้ศาลฎีกาพิจารณาดำเนินการก่อนการเลือกตั้ง เพราะถ้ายื่นหลังการเลือกตั้งจะมีผลกระทบมากกว่านั้น นายแสวง กล่าวว่า ทุกอย่างมีกระบวนการที่ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา เมื่อมีเรื่องร้องเรียน สำนักงานก็จะมีการรวบรวมพยานหลักฐาน ต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงข้อกล่าวหา ก่อนนำเสนอให้กกต.พิจารณา ซึ่งต้องใช้เวลา อย่างเช่นวันนี้ (11 พ.ค.) หน่วยงานมี่กกต.ได้ขอความร่วมมือในการตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้ง เพิ่งส่งข้อมูลล่าสุดมาให้ พบว่า มีผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ คนหนึ่งถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย แต่กกต.เห็นว่าจำเป็นต้องให้ความเป็นธรรม และได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติก่อน จึงให้สำนักงานไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า คำสั่งล้มละลายยังมีผลอยู่หรือไม่ และผู้ถูกกล่าวได้ได้มีการดำเนินการในเรื่องของการต่อสู้อย่างไรหรือไม่  จากนั้น กรรมการค่อยมาพิจารณาเรื่องกรยื่นต่อศาล ดังนั้น จึงต้องแยกเรื่องกระบวนการให้ความเป็นธรรม กับผลกระทบออกจากกัน
 

ส่วนถ้านายพิธามีความผิดจริง และได้ไปเซ็นรับรองการสมัครส.ส. ของพรรค ถ้าเป็นเช่นนี้การสมัครนั้นจะเป็นโมฆะใช่หรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า ก็ให้กกต. ตรวจสอบว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ต้องถอดสมการว่าการเป็นหัวหน้าพรรคพ้นไปหรือยัง เพราะในข้อบังคับเป็นหน้าที่ของนายทะเบียน แล้วนายพิธาก็ให้สัมภาษณ์ด้วยว่าเรื่องนี้รู้มาตั้งนานแล้ว ซึ่งเรื่องนี้พรรคเคยมาปรึกษาตนแต่ไม่ได้ยกประเด็นนี้มาปรึกษา แต่ถึงอย่างไรตนก็ได้ให้ความรู้เรื่องกฎหมายไป ตนไม่ได้เลือกที่รักมักที่ซัง

ส่วนที่นายศรีสุวรรณถูกทำร้ายร่างกาย นายเรืองไกร กล่าวว่า “ผมไม่นิยมความรุนแรง แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอ ซึ่งก็ระมัดระวังตัวอยู่ ผมขอให้กำลังใจนายศรีสุวรรณในฐานะที่เราใช้สิทธิและถูกทำร้ายร่างกายเป็นครั้งที่ 2 ผมไม่อยากให้เกิดตัวอย่างเช่นนี้ในสังคม คนที่บอกว่าอยากได้ประชาธิปไตย แต่ใช้คำหยาบคำลามก ใช้การกระทำที่ส่อว่าฝ่าฝืนกฎหมาย เช่นที่สถานีตำรวจเมื่อวานนี้ ผมไม่เห็นเห็นด้วย ผมอยู่มาทุกม็อบ ผมไม่สนับสนุนเรื่องอย่างนี้ เขาใช้สิทธิแต่ละคนเมื่อถูกดำเนินคดีก็ร้องแรกแหกกระเชอกันไป ก็เอาคำพิพากษาคำฟ้องมาตรวจสิครับ ถ้ามันไม่ผิดคดีอาญามีข้อสงสัย ศาลท่านก็ตัดสินไม่ได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปบิด การทำให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุข สงบอยุ่ด้วยรู้รักสามัคคดัีต้องเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน ผมฝากไว้แค่นี้”