posttoday

เลือกตั้ง66:ประชาธิปัตย์ชูแคมเปญโค้งสุดท้ายขจัดนักการเมืองโกง

11 พฤษภาคม 2566

ประชาธิปัตย์ เปิดแคมเปญโค้งสุดท้ายการเลือกตั้ง66 ชู #saveประชาธิปัตย์ #saveประชาธิปไตยไม่โกง ขจัดนักการเมืองโกง-หลุดวงจรอุบาทว์ต้นเหตุรัฐประหาร

เมื่อวันที่11พ.ค.2566  นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรค นายจิตกร บุษบา ทีมโฆษกเลือกตั้ง ได้ร่วมกันแถลงโค้งสุดท้ายของการรณรงค์เลือกตั้ง66

นางดรุณวรรณ กล่าวว่า พรรคอยากแสดงจุดยืนเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้มีโอกาสตัดสินใจ อันเป็นที่มาของแคมเปญ #saveประชาธิปัตย์ เพื่อ #saveประชาธิปไตยไม่โกง ในช่วงโค้งสุดท้าย 3 วัน ก่อนการเลือกตั้งเพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาและตัดสินใจบนความถูกต้องในการเลือกพรรคการเมืองด้วยเหตุและผล มากกว่าตัดสินใจเลือกตามกระแส 
 

ด้านนายองอาจ กล่าวถึงการที่พรรคประชาธิปัตย์ได้กำหนดจุดยืนและแนวทาง รวมทั้งยุทธศาสตร์ในการหาเสียงเลือกตั้ง 3 วัน ก่อนที่จะถึงวันลงคะแนนเสียงในวันที่ 14 พ.ค. นี้ว่า เกิดขึ้นมาจากในช่วง 2 – 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้สนับสนุนพรรคจำนวนมากเริ่มต้นติด #saveประชาธิปัตย์ เผยแพร่ในแวดวงต่างๆ จำนวนมาก โดยหวังว่าจะให้ผู้สนับสนุนพรรค สมาชิกพรรค และพี่น้องประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่เคยสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์มาตลอด และในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาอาจไปสนับสนุนพรรคการเมืองอื่น ได้กลับมาช่วยกันรักษาพรรคประชาธิปัตย์ให้ได้มีโอกาสทำงานเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนต่อไป 

จากสิ่งเหล่านี้ พรรคจึงนำเข้าสู่กระบวนการ ฟัง - คิด - ทำ และมาผนวกกับจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ และจากการทำงานตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ได้แสดงออกอย่างชัดเจนถึงการทำการเมืองด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ภายใต้ระบอบการปกครองประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นการที่จะให้การเมืองเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีคุณภาพ และเกิดประโยชน์กับประชาชนได้ จะต้องเป็น “ประชาธิปไตยไม่โกง” 

“ถ้าเราปล่อยให้ประชาธิปไตยเดินหน้าโดยมีการโกง มีการทุจริต คอร์รัปชั่น จนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติเมื่อไหร่ ระบอบประชาธิปไตยก็คงไม่สามารถตอบโจทย์ในการแก้ไขปัญหาของประเทศได้ เพราะประเทศชาติบ้านเมืองจะเต็มไปด้วยการทุจริต คอร์รัปชั่น และจะส่งผลกระทบต่อประเทศชาติหลายประการ” นายองอาจ กล่าว 

นายองอาจ กล่าวว่า การเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่มีการทุจริต คอร์รัปชั่น จะส่งผลกระทบ 3 ประการ คือ 
ประการแรก เมื่อใดก็ตามที่มีระบอบประชาธิปไตย ที่มีการทุจริต คอร์รัปชั่น จะมีนักการเมืองกลุ่มหนึ่งแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเอง และพวกพ้อง จากงบประมาณแผ่นดิน พร้อมกับยกตัวอย่างว่า เมื่อไม่นานมานี้มี ส.ส. จากพรรคการเมืองหนึ่งถูกศาลตัดสินจำคุก 6 ปี จากการข่มขู่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เพื่อเรียกรับผลประโยชน์ ซึ่งถือเป็นตัวอย่างของการเบียดเบียนงบประมาณแผ่นดิน หากมีนักการเมืองลักษณะนี้เข้ามามีโอกาสเป็นบริหารจัดการงบประมาณโดยตรง ก็จะใช้อำนาจหน้าที่เพื่อตนเองและพวกพ้องในการหาผลประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดิน ทำให้งบประมาณแผ่นดินซึ่งมาจากภาษีของประชาชนแทนที่จะได้ใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ก็จะถูกเบียดบัง ฉ้อฉล เอาไปใช้เพื่อประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง หรือของพวกพ้องและครอบครัว 

ประการที่สอง การที่นักการเมือง หรือผู้มีอำนาจ แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ เป็นเพราะหวังว่าจะได้นำสิ่งเหล่านั้นมาทำให้ตนเอง หรือพวกพ้องได้กลับเข้าสู่อำนาจอีกในการเลือกตั้งต่อไป ซึ่งเงินเหล่านั้นจะนำมาซื้อ ส.ส. ดูด ส.ส. รวมไปถึงซื้อเสียง และเมื่อตัวเองได้กลับมามีอำนาจ ก็จะใช้อำนาจนั้นแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ กลายเป็นวงจรอุบาทว์ในทางการเมือง 

ประการที่สาม ทุกครั้งที่มีการปฏิวัติรัฐประหาร โดยเฉพาะ 2 ครั้งหลัง จะมีข้ออ้างในการทำปฏิวัติรัฐประหารว่า นักการเมืองทุจริต คอร์รัปชั่น ประเทศชาติ บ้านเมืองมีการทุจริต คอร์รัปชั่นอย่างกว้างขวาง 

พรรคประชาธิปัตย์ จึงตั้งมั่นทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มาโดยตลอด และได้ทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ตั้งแต่เรื่องการแจ้งบัญชีทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเดิมนั้นไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองแรกที่เรียกร้องให้มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ นอกจากนี้พรรคยังริเริ่มให้มีกฎหมายเอาผิดกับผู้กระทำความผิดในคดีทุจริตโดยไม่มีอายุความ และที่สำคัญในการยื่นเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงที่ผ่านมา พรรคได้เสนอแก้ไข เพื่อให้มีการตรวจสอบ ปปช. ได้อย่างเข้มข้น การให้อำนาจกับประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้พิจารณาว่าจะส่งเรื่องฟ้องเอาผิด หรือไม่นั้น หากประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริงก็จะทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมได้ 

ดังนั้น #saveประชาธิปัตย์ เพื่อ #saveประชาธิปไตยไม่โกง จึงเป็นการส่งสัญญาณไปยังพี่น้องประชาชนว่า การช่วยกันรักษาประชาธิปัตย์ ก็เท่ากับเป็นการช่วยรักษาประชาธิปไตยไม่โกง และรักษาประเทศไทยให้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้สามารถเดินหน้าอยู่คู่ประเทศไทยของเราตลอดไป 

.
นาง ดรุณวรรณ ได้กล่าวทิ้งท้ายเพื่อเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนคนไทยออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคม โดยระบุว่า 

"ขอโอกาสจากคนที่รักพรรคประชาธิปัตย์ คนที่ยังรักพรรคประชาธิปัตย์ที่ครั้งหนึ่งเคยปันใจ เปลี่ยนใจ และขอเชิญชวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทุกคน ให้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งกันมาก ๆ และช่วยกันเลือกพรรคประชาธิปัตย์เบอร์ 26 เพราะว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นอีกครั้งที่มีความสำคัญ การเลือกพรรคประชาธิปัตย์ จึงไม่ใช่แค่การช่วย #saveพรรคประชาธิปัตย์แต่ยังเป็นการ #saveประชาธิปไตย ไม่โกง และเป็นส่วนหนึ่งในการช่วย save ประเทศชาติ จากการที่มีคนของจากพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปเป็นพลัง ทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรภายใต้จุดยืนและอุดมการณ์เพื่อพี่น้องประชาชนทุกคน” นางดรุณวรรณ กล่าว 

สำหรับ นายจิตกร ได้กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ตอบรับสัญญาณความต้องการของประชาชนผู้สนับสนุนด้วยการนำเอา #saveประชาธิปไตย มาเป็นพันธกิจหลักของพรรคนั้นเกิดขึ้นมาจากความต้องการของประชาชนที่มอบพันธกิจของพวกเขาให้พรรคที่พวกเขายึดมั่นมาโดยตลอด 

“แคมเปญ #saveประชาธิปัตย์ ในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การsaveตัวเอง แต่เป็นการsaveจิตวิญญาณของประชาธิปไตย ดังนั้นต้องขอบคุณประชาชนที่ช่วยคิดแฮชแท็คนี้ขึ้น และขอให้ประชาชนมั่นใจว่า หากเลือกประชาธิปัตย์จะได้ 3 ป. แบบใหม่  ป.ที่ 1 ประชาชนปลอดโปร่ง โล่งใจได้ว่าจะได้พรรคที่สร้างนโยบายที่ไม่หวือหวาแต่ทำได้จริง และไม่สร้างสงครามหรือเผชิญหน้ากับพรรคอื่น ไม่หาเสียงปลุกเร้าประชาชนให้ออกมารบกับใคร หรือสร้างความวุ่นวายให้บ้านเมือง ป.ที่2 ประเทศชาติต้องปลอดภัย โดยอย่าเลือกตามกระแส แต่ขอให้เลือกที่ความสามารถในการพัฒนาพื้นที่ ป.ที่ 3 คือ ประชาธิปไตยต้องสุจริต” ปู จิตกร กล่าว

และทิ้งท้ายว่า ขอให้ประชาชนเข้าไปกาพรรคประชาธิปัตย์ที่สำคัญที่สุด คือ ‘ประชาธิปไตย’ ต้อง ‘สุจริต’ โดยย้ำจุดยืนที่นาย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคได้กล่าวไว้ถึงโครงสร้างของประชาธิปไตย 3 ประการคือ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ประชาธิปไตยท้องอิ่ม และ ประชาธิปไตยสุจริต ปราศจากคอร์รัปชั่น