posttoday

ความประทับใจ "กำปั้นไทย" ครั้งเข้าเฝ้าฯ เบื้องพระยุคลบาท

17 ตุลาคม 2559

ความสำเร็จทั้งหมดนั้นมีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เป็นแรงผลักดัน

โดย...ชมณัฐ รัตตะสุข

กีฬามวย นับเป็นชนิดกีฬาที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ซึ่งความสำเร็จทั้งหมดนั้นมีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เป็นแรงผลักดัน

บุคลากรในวงการมวยสากลอาชีพ มวยสากลสมัครเล่น ตลอดจนมวยไทย ต่างทราบกันดีว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงโปรดกีฬามวย และมีพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นต่อวงการมวย ที่ผ่านมาทรงเสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานทอดพระเนตรการชกของนักมวยไทยหลายต่อหลายครั้ง อาทิ ไฟต์ที่ โผน กิ่งเพชร คว้าแชมป์มวยโลกคนแรกของไทย ด้วยการชนะ ปาสคาล เปเรซ จากอาร์เจนตินา ณ สนามมวยเวทีลุมพินี (16 เม.ย. 2503) หรือ ชาติชาย เชี่ยวน้อย ชนะคะแนน แอฟเฟรน ทอร์เรส จากเม็กซิโก ณ สนามกีฬากิตติขจร (20 มี.ค. 2513)

ภายหลังการชก พระองค์จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นักมวยเข้าเฝ้าฯ อย่างใกล้ชิด และมีพระราชปฏิสันถารอย่างเป็นกันเอง ตลอดจนทรงห่วงใยเรื่อยมา ซึ่งนับเป็นเกียรติยศและความภาคภูมิใจอย่างสูงของนักมวยทุกคน

สมรักษ์ คำสิงห์ นักมวยสากลสมัครเล่นทีมชาติไทย เจ้าของเหรียญทองประวัติศาสตร์ของทัพนักกีฬาไทยในโอลิมปิกเกมส์ ปี 1996 เผยว่านับเป็นความภาคภูมิใจอย่างหาสิ่งใดมาเปรียบมิได้ เนื่องจากนักมวยส่วนใหญ่เติบโตมาจากต่างจังหวัด ไม่มีใครคิดว่าในชีวิตจะมีโอกาสได้เข้าเฝ้าเบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิด

“สมัยเด็กผมมองพระองค์เป็นเสมือนเทวดา เวลาเจอเหตุร้ายอะไร หรือเวลากลัวผี ผมจะนึกถึงในหลวงตลอด ขอให้ในหลวงคอยคุ้มครอง เด็กบ้านนอกอย่างผมไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ พระองค์ท่านเลย แต่เราก็มีพระองค์ท่านเป็นกำลังใจมาตลอด หลังชกชนะได้เหรียญทองวันนั้น ผมถึงรู้ว่าพระองค์ทรงติดตามและทอดพระเนตรการชกของผมด้วย เนื่องจากทางรองราชเลขาธิการ สํานักพระราชวัง ได้โทรศัพท์ทางไกลมาที่เบอร์ของผู้บริหารสมาคมเพื่อฝากพระราชสาสน์ถึงผม แต่ผมตรวจโด๊ปอยู่จึงไม่ได้รับสาย พอเสร็จแล้วจะโทรกลับก็ไม่กล้า” สมรักษ์ กล่าว

จากนั้นเมื่อถึงกลับเมืองไทย สมรักษ์ พร้อมสมาคมมวยสากลสมัครเล่นแห่งประเทศไทยฯ ได้เข้าเฝ้าเบื้องพระยุคลบาท ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทองแด่พ่อหลวงตามที่ตั้งมั่นไว้ โดย “เจ้าบาส” ที่ได้รับพระราชทานสร้อยคอทองคำ และเหรียญพระมหาชนกทองคำ เผยถึงคำตรัสของพระเจ้าแผ่นดินที่ตราตรึงอยู่ในใจตนเรื่อยมาจนถึงวันนี้

“ตอนนั้นตื่นเต้นกันหมดทุกคน ไม่คิดว่าจะมีโอกาสนี้ พระองค์ทรงตรัสชื่นชมความสำเร็จของมวยสากลสมัครเล่น และพระองค์ทรงตรัสกับผมว่า เห็นผมถือพระบรมฉายาลักษณ์บนเวที ทรงนึกว่าขึ้นไปชกด้วยพระองค์เอง จึงเผลอลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นเชียร์ ทำให้มหาดเล็กในวังขำขันกันใหญ่ พระองค์ทรงอายจึงประทับลงตามเดิม” สมรักษ์ย้อนถึงวินาทีสำคัญ

นั่นคือครั้งแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงรับเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์จากทัพนักกีฬาไทยไปเก็บไว้ในห้องบรรทม ซึ่งภายหลังแม้ วิจารณ์ พลฤทธิ์ จะทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทองจากรุ่นฟลายเวต ที่คว้ามาได้ในโอลิมปิก 2000 ณ พระราชวังไกลกังวล แต่พระองค์ทรงไม่ได้รับไว้ โดยตรัสว่า ทรงมีเหรียญทองของสมรักษ์อยู่แล้ว ส่วนเหรียญของวิจารณ์นั้นให้เจ้าตัวเก็บไว้เป็นกำลังใจ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องนี้โด่งดังไปทั่วโลก ทางคณะกรรมการโอลิมปิกสากลได้ส่งเหรียญทองมาให้กับสมรักษ์เก็บไว้เป็นเกียรติแก่ตัวเองอีกเหรียญ

ความประทับใจ "กำปั้นไทย" ครั้งเข้าเฝ้าฯ เบื้องพระยุคลบาท

ด้าน วิชัย ราชานนท์ เจ้าของเหรียญทองแดง จากรุ่นแบนตัมเวต ปี 1996 ที่ได้เข้าเฝ้าฯ พร้อมสมรักษ์ ได้นำพระราชดำรัสของในหลวงมาเป็นแนวทางการใช้ชีวิตจากนั้นเรื่อยมา

“พระองค์ทรงถามผมว่า ผมจะชกมวยต่อไหม ผมตอบไปว่าคงไม่ชกแล้ว เพราะอายุเยอะแล้ว ตอนนั้นอายุ 28 ปีแล้ว พระองค์ทรงตรัสต่อว่า ถ้าอย่างนั้นขอให้วิชัยเป็นตัวอย่างที่ดีให้นักมวยรุ่นน้องต่อไป ซึ่งผมได้ยึดมั่นพระราชดำรัสนั้นไว้ในใจเรื่อยมา ตอนนี้ผมทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอน ปั้นนักมวยรุ่นใหม่ขึ้นมาสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ และยังเป็นผู้จัดการแข่งขันมวยเทิดพระเกียรติ เปิดโอกาสให้นักมวยได้มีเวทีแสดงฝีมือ” วิชัย เผย

ขณะที่ วิจารณ์ พลฤทธิ์ ย้อนความถึงความประทับใจที่สุดในชีวิตวันนั้นว่า คำแรกที่พระองค์ทรงตรัสคือ “เหนื่อยไหม เราเป็นกำลังใจให้กับนักกีฬาทุกคนที่เข้าแข่งขัน ขอบใจที่ทำชื่อเสียงให้กับประเทศ” ซึ่งทำให้นักกีฬาทุกคนตื้นตันใจเป็นอย่างมาก

“แม้จะผ่านมากว่า 16 ปีแล้ว แต่ผมก็จำได้ดี พระองค์ทรงให้ความเป็นกันเองอย่างมาก แทนพระองค์ด้วยคำว่าเรา ผมนำคำสอนของพระองค์มาใช้ในการดำเนินชีวิตตลอดมา โดยเฉพาะการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง” วิจารณ์เปิดใจ

พระมหากรุณาธิคุณต่อวงการมวยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชยังมีอีกมากมายมหาศาล โดย พล.อ.ทวีป จันทรโรจน์ อดีตนายกสมาคมมวยสากลสมัครเล่นแห่งประเทศไทยฯ เผยว่าการที่พระองค์ทรงรับสมาคมมวยฯ เข้ามาอยู่ใน “พระบรมราชูปถัมภ์” คือจุดเริ่มต้นความสำเร็จของทัพเสื้อกล้ามไทยอย่างแท้จริง ดังนั้นทางสมาคมจึงเป็นผู้ริเริ่มนำพระบรมฉายาลักษณ์ติดตัวขณะเดินทางไปแข่งขันยังต่างประเทศทุกครั้ง นอกจากจะกราบไหว้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจก่อนขึ้นชกแล้ว ยังเป็นการเทิดพระเกียรติให้ทั่วโลกได้รับรู้เมื่อนักมวยคว้าชัยชนะแล้วนำขึ้นไปชูเหนือหัวบนเวที

“ทางสมาคมได้กราบบังคมทูลขอให้ได้เข้ามาอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์เมื่อปี 2538 จากนั้นปีถัดมาเราก็สามารถคว้าเหรียญทองแรกในประวัติศาสตร์จากสมรักษ์ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นเหมือนปาฏิหาริย์ การที่ได้รู้ว่าเราได้อยู่ในสายพระเนตรของในหลวง ทำให้ทุกคนมีขวัญกำลังใจที่จะพัฒนานักมวยอย่างเต็มที่ นอกจากนี้พระองค์ยังได้พระราชทานถ้วยรางวัลสำหรับการแข่งขันมวยคิงส์ คัพ ให้กับทางสมาคมเพื่อเป็นเส้นทางการคัดหานักมวยเข้าสู่ทีมชาติ ที่สำคัญจากคำบอกเล่าของ นพ.รุ่งธรรม ลัดพลี นายแพทย์ส่วนพระองค์ ได้บอกกับผมว่า พระองค์ทรงทอดพระเนตรและติดตามการแข่งขันมวยรายการนี้ รวมถึงมวยสากล และมวยรายการอื่นๆ มาโดยตลอด” เสธ.วีป เผย

พร้อมกันนี้ พล.อ.ทวีป ยังเล่าถึงพระอัจฉริยภาพด้านกีฬามวยของในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งพา อันวาร์ ชอว์ดรี อดีตประธานสหพันธ์มวยสากลสมัครเล่นนานาชาติ (ไอบา) ผู้ล่วงลับ เข้าเฝ้าเบื้องพระยุคลบาท เมื่อปี 2540

“ชอว์ดรี เป็นชาวปากีสถาน เขาไม่รู้ถึงพระอัจฉริยภาพทางด้านกีฬาของในหลวง แต่หลังจากได้เข้าเฝ้าฯ กว่า 1 ชั่วโมง เขาออกมาพูดกับผมว่า พระองค์ทรงมีความรู้และมีพระอัจฉริยภาพทางด้านกีฬามากมายไม่ใช่แค่มวย ที่สำคัญยังรู้จริงในทุกเรื่อง ทรงตรัสถามชอว์ดรีถึงหัวใจสำคัญที่จะประสบความสำเร็จในการชกมวย” พล.อ.ทวีป ทิ้งท้าย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ยังทรงห่วงใยและทรงติดตามสารทุกข์สุกดิบของนักมวยทุกคนเรื่อยมา เมื่อครั้งทรงทราบข่าวว่า ชาติชาย เชี่ยวน้อย ในวัย 74 ปี ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก มีความเป็นอยู่ไม่สมศักดิ์ศรีอดีตแชมป์โลก จึงมีได้พระราชดำรัสให้การกีฬาแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬามวยไทยอาชีพแห่งประเทศไทย หาแนวทางช่วยเหลืออย่างเต็มที่

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงพระมหากรุณาธิคุณอันล้นฟ้าที่ทรงมีต่อวงการมวย จนนำไปสู่การต่อยอดถึงความสำเร็จให้กับประเทศไทยเรื่อยมา